“เอ้ สุชัชวีร์” สะท้อนทิศทางการศึกษาไทยหลังโควิด-19 มี “3 เรื่องดี - 3 เรื่องใหญ่”

“เอ้ สุชัชวีร์” สะท้อนทิศทางการศึกษาไทยหลังโควิด-19 มี “3 เรื่องดี - 3 เรื่องใหญ่”

“เอ้ สุชัชวีร์” สะท้อนทิศทางการศึกษาไทยหลังโควิด-19 มี “3 เรื่องดี - 3 เรื่องใหญ่”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่ 21 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในสังฆราชูปถัมภ์ และอดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนดลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ได้กล่าวปาฐกถาเปิดเวทีสัมมนาออนไลน์ “Future Trends in Education” ซึ่งจัดโดยสถานทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย และคณะกรรมการด้านการศึกษา หอการค้าไทย-ฟินแลนด์ (TFCC) สะท้อนทิศทางการศึกษาไทย หลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา โดยระบุ “3 เรื่องดี - 3 เรื่องใหญ่” ปรากฏให้สังคมเห็น 

ดร.สุชัชวีร์ ชี้ว่า การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่เคยได้เป็นพระเอกในสังคมไทย ประเด็นเรื่องการศึกษามักถูกละเลยให้เป็นประเด็นรอง ทั้งที่การศึกษาถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคม หากจะแก้ไขปัญหาทางสังคมอย่างยั่งยืน ก็จำเป็นต้องแก้ที่การศึกษาด้วย นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ก็ทำให้สังคมพบ 3 เรื่องดีที่สามารถนำไปต่อยอดและพัฒนาการศึกษาไทยได้ ได้แก่ 

  1. โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมดี ประเทศไทยมีระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่แม้ไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ไม่ได้แย่ สังเกตได้จากการปรับตัวไปสู่การเรียนออนไลน์แบบฉับพลันทันที ที่แม้จะมีปัญหาติดขัดบ้าง แต่ในภาพรวมก็สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ ทั้งผู้เรียนและผู้สอน สะท้อนว่าสังคมไทยมีความสามารถในการปรับตัวอยู่พอสมควร เพียงแต่ขาดความตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 
  2. ระบบโลจิสติกส์ดี ระบบขนส่งสินค้าของไทยขยายตัวและพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถกระจายสินค้าและทรัพยากรทางการศึกษาไปได้มากขึ้น ซึ่งจุดแข็งตรงนี้เป็นโจทย์ว่า จะทำอย่างไรจึงจะนำมาใช้กับการศึกษาได้ 
  3. บุคลากรดี บุคลากรทางการศึกษา ทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างมีความสามารถและมีความพยายามในการปรับตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในภารกิจหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งในแง่นี้ หากวางระบบการจัดการที่ดีและยืดหยุ่น ก็จะรองรับความเปลี่ยนแปลงได้ 

อย่างไรก็ตาม ดร.สุชัชวีร์ ก็สะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า แม้จะมีข้อดีปรากฏให้เห็น แต่ก็มีเรื่องที่ต้องแก้ไขและต้องคิดใคร่ครวญอีกมาก อย่างน้อย 3 เรื่อง คือ

  1. เด็กปฐมวัยกับทักษะทางสังคม งานวิจัยทั่วโลกเห็นตรงกันว่า เด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3-6 ขวบ คือช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุดช่วงหนึ่งของมนุษย์ แต่ในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน ต้องอยู่บ้าน ไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้เข้าสังคม ก็ส่งผลกระทบให้เด็นปฐมวัยไม่ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะต่าง ๆ มากนัก โจทย์ที่ต้องแก้คือ จะเติมเต็มทักษะเหล่านี้ให้กับเด็ก ๆ ได้อย่างไร 
  2. ทักษะทางวิชาชีพกับการเรียนออนไลน์ มีหลายอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางวิชาชีพ เช่น หมอ ช่าง หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องทำการทดลอง ซึ่งทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ แต่ในช่วงที่สถานการณ์บังคับให้ต้องเรียนออนไลน์ ก็ส่งผลให้นักศึกษาจำนวนมากมีข้อจำกัดในการลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งอาจส่งผลต่อความชำนาญและความแม่นยำในทักษะวิชาชีพ ดร.สุชัชวีร์ ชี้ว่า เทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันสามารถช่วยลดข้อจำกัดในการฝึกฝนทักษะทางวิชาชีพได้ หากนำมาใช้ ก็จะเป็นประโยชร์อย่างยิ่ง ต่อให้ไม่มีโรคระบาดก็ตาม 
  3. การถอดบทเรียนจากวิกฤตอย่างจริงจัง โควิด-19 คือมหาวิกฤตของโลกและเป็นสัญญาณเตือนว่า โลกสมัยใหม่จะเปลี่ยนแปลงในทุกมิติอย่างรวดเร็วและคาดเดายาก ทำให้หลายประเทศเริ่มถอดบทเรียนและวางแผนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แล้วสังคมไทยจะถอดบทเรียนจากวิกฤตนี้อย่างไร เพื่อแก้ไขจุดอ่อนและเสริมความเข้มแข็งให้มากขึ้น 

สุดท้าย ดร.สุชัชวีร์เน้นย้ำว่า การดำเนินงานด้านการศึกษาในอนาคตจะต้องเผชิญกับปัญหาที่สลับซับซ้อนมากขึ้น จึงต้องเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษา ขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพราะการศึกษามีผลกระทบกับทุกคนในสังคม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook