ครูสุดทน ลาออกข้าราชการครู มีแต่ภาระ ครูทุจริตโกงเงินนักเรียน แต่รับโทษนิดเดียว
เรียกว่าเป็นปัญหาที่ค้างคาในวงการข้าราชการครูมานานมาก ที่เรามักจะเห็นคุณครูที่มีความตั้งใจที่จะสอน หมดไฟที่จะทำงานและตัดสินใจออกจากข้าราชการครู เพราะระบบการจัดการที่ไม่เอื้ออำนวยทั้งเรื่องการทำงานและสุขภาพจิตของคนเป็นครู และนี่ก็เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งราวที่ทำให้เราเห็นถึงอีกมุมมองของผู้เป็นครูต่อระบบข้าราชการครูของประเทศไทย
เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊กบัญชี Anuchit Nui โดยคุณครูได้เล่าเรื่องราวที่ตัวเองตัดสินใจที่จะลาออกจากระบบข้าราชการครู เนื่องด้วยปัญหาความไม่ยุติธรรมและปัญหาการทุจริตของคนที่เป็นครูแต่ไม่ได้รับการลงโทษตามที่สมควร โดยคุณครูได้โพสต์ภาพพร้อมกับบรรยายว่า
อนุชิตไม่เหมาะกับการเป็นข้าราชการครูแล้วครับ (อ่านให้จบกันก่อนนะ ละจะเข้าใจอนุชิตมากขึ้นครับ)
เกือบ 7 ปีที่ได้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการครู วันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว อนุชิต จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการครู ณ ที่แห่งนี้ บางปะกอกวิทยาคม อีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น
ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ การตัดสินใจครั้งนี้ อนุชิตคิดมันมานานมาก คนสนิทชิดเชื้อ คนใกล้ตัว จะรู้ดีว่า อนุชิตอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนขนาดไหน แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง จังหวะ โอกาส ไม่เป็นใจสักรอบ จนครั้งนี้ ทุกอย่างค่อนข้างปูทาง จบ ปโท ตามเวลาที่หวัง ขออนุญาตครอบครัวในการลาออกจากราชการก็สมหวัง ทำเอกสารยื่นวีซ่า ผลตรวจสุขภาพ จนกระทั่งการรอผลวีซ่า (แม้จะเป็นช่วงเวลา 1 เดือนที่ทรมาน) ทุกอย่างก็ราบรื่นหมด
คือ…อนุชิต ไม่สนุกกับการสอนหนังสือแล้วอะครับ ยิ่งช่วงปีนี้ เป็นปีที่กลับไปทบทวนตัวเองเวลาอยู่ห้องคนเดียวบ่อยมาก ว่า อืม เราไม่เหมือนเดิม เราไม่สนุกกับการสอน ไม่เหมือนก่อน เราไม่เอ็นจอยแล้ว อีกทั้ง เหนื่อยหน่ายกับระบบ ที่ต้องก้มหัวทำตาม เรียกร้องอะไรเบา ๆ เขาก็แทบไม่สนใจ ต้องเล่นใหญ่ใจโตตลอด ทุกคนก็คงเห็นความแรงของเราเวลา complain โรงเรียนลงโซเซียล
เราเบื่อที่เราตั้งใจสอน เราพยายามสอน แต่ผลประเมินเงินเดือนครั้งนึง ของเราออกมาน้อยจนน่าเกลียด เราได้ 2.25% ซึ่งโครตแย่ บันทึกขอดูคะแนน ก็ไม่ให้ดู เหอะ ๆ ก็ได้แต่มานั่งคิดทบทวน บทบาทการเป็นครูของเรามันต่างกับคนที่ได้ 3.xx% ขนาดนั้นเชียวหรือ เราสอนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ มันฝังใจเรามาก และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราบอกตัวเองเสมอว่า ถ้ามีโอกาสลาออก เราจะออกเท่านั้น เราพอแล้วกับระบบนี้
แล้วเราก็เบื่อที่ต้อง make เอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการสอน plc แผนพอเพียง pa วิจัย sar บลา ๆๆ เรารู้สึกว่าเสียเวลา และเปล่าประโยชน์ (เป็นความรู้สึกจากเราเองไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ) ละก็ อีกอย่างที่เป็นจุดพีคสุด เราคิดว่าเป็นที่นิสัยของเรา ที่ไม่ชอบเห็นอะไรที่มันไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เรื่องที่แรงมาก ๆ และฝังใจสุด ๆ คือวันที่เราจับโจรในคราบครู ได้ว่าโกงเงินนักเรียน 50,000 บาท ตอนนั้นเราทำเรื่องคนเดียวเงียบ ๆ มีคนให้การสนับสนุนเราเพียงแค่ไม่กี่คน และพอหลักฐานชัดเจน จับได้คาหนังคาเขา
มีคนคนนึง บอกว่าเราทำเกินไป เรากำลังจะฆ่าเขาเพียงแค่เราบีบมือเขาก็ตายคามือเราแล้ว คำถามที่เราถามกลับเขาไปคือ แล้วก่อนหน้านี้ที่เขาค่อย ๆ เอามีดบาดเราที่ละนิด ๆ แต่เราก็ทนพิษบาทแผลได้ ตอนนั้น ใครสนใจเราหรอ? แล้ว นร ที่ถูกกระทำคุณไม่ห่วง ไม่เห็นใจ เขาบ้างหรอ?
ละความพีคสุดคือโทษนางแค่ลดเงินเดือน 3 เดือนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ควรโดนให้ออกจากราชการไหม?
ตอนนั้นช่วงที่ทำเรื่องคือแบบ เครียด เพราะเพื่อนรอบข้างที่รู้เรื่องก็กลัวชีวิตเราจะไม่ปลอดภัย ไม่โอเคสุด ๆ สุดแบบเออ ถึงขั้นส่งอีเมลไปให้เพื่อนสนิท บอกว่า ถ้าเกิดตายไปช่วยสานต่อเรื่องนี้ให้ด้วย เหอะ ๆ สุดท้ายได้แต่มาน้่งบอกกับตัวเองว่า ขอเหอะ ขอวันนึง ทามมิ่งชีวิตสวย ๆ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับระบบ นี้อีกเลย พอแล้ว พอกันที ก็นั้นแหละ ระบบที่มันไม่โอเค ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ก็ขอถอยออกมาดีกว่า จากที่มีความสุขกับการสอน มีความสุขเวลาอยู่กับนักเรียน เหลือแค่มีความสุขเวลาอยู่เล่นนอกเวลากับนักเรียนอย่างเดียว
ดังนั้น ควรเปิดทางให้คนที่ ”อยาก” จะเป็นข้าราชการครูจริง ๆ และยอมรับระบบนี้ได้ ได้เข้ามาเป็นครูแทนเราดีกว่า ส่วนตัวเราก็ไปเดินตามความฝันตามทางที่เราวางไว้
บายครับราชการครู บายครับบางปะกอกวิทยาคม ยื่นพรุ่งนี้ละ เย้!!!
หลังจากที่โพสต์ของคุณครูได้ถูกแชร์ออกไป ก็เรียกได้ว่ากลายเป็นโพสต์ไวรัลที่สะท้อนถึงปัญหาของวงการข้าราชการครูได้เป็นอย่างดี โดยโพสต์ของคุณครูได้มียอดไลก์มากกว่า 6,400 ครั้ง แชร์มากกว่า 4,600 ครั้ง รวมไปถึงยังมีคอมเมนต์ที่เข้ามาให้กำลังใจคุณครูกันอย่างมากมาย
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ