เทรนด์ DINK คู่รักยุคใหม่ มีเงิน ใช้ชีวิตคู่ แต่ไม่มีลูก
ข้อดีอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ คือค่อนข้างที่จะเปิดกว้างในเรื่องของทัศนคติในด้านต่าง ๆ ของปัจเจกชนมากขึ้น บุคคลมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกทำในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่เบียดเบียนคนอื่นและอยู่ภายใต้กฎหมาย ขณะเดียวกันก็ยังมีเรื่องของการยอมรับตัวตนและเคารพในการตัดสินใจของบุคคลที่เลือกแนวทางชีวิตของตนเองแล้วว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตราบที่เจ้าตัวพึงพอใจและไม่เดือดร้อนใครอื่น แม้ว่าคนใกล้ชิดอาจจะไม่เห็นด้วยและไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก แต่ถ้าเจ้าของชีวิตเขาเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับและเคารพในสิ่งที่เขาเลือกให้ได้
เช่นเดียวกันกับเรื่องของการมีคู่ครองและทายาทเพื่อสืบสกุล ทุกวันนี้คู่แต่งงานมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจเองได้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องอิงตามความต้องการของผู้ใหญ่มากนักก็ได้ถ้าตนเองไม่พร้อม เพราะสุดท้ายแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ยุคนี้ใครใคร่อยู่เป็นโสดก็สามารถอยู่ได้โดยที่สังคมทั่วไปไม่ได้มองว่าแปลก หรือต่อให้ไม่ใช่คนโสด แต่งงานมีคู่ครอง คู่ชีวิต ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าอนาคตยามที่แก่ตัวลงจะอยู่อย่างไร หากไม่มีลูก ถ้าเวลานี้ไม่พร้อมจะมีก็ไม่ต้องมี ไม่จำเป็นต้องเพิ่มภาระให้ตัวเอง เพราะจากที่แบกอยู่บางคนก็แทบจะไม่รอดแล้ว
ดังนั้น นอกจากเทรนด์คนโสดที่กำลังมาแรง เมื่อคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งเต็มใจ (หรือจริง ๆ อาจจะไม่เต็มใจก็ตาม) ที่จะอยู่เป็นโสด ไม่คบหามีความสัมพันธ์แบบคนรักกับใครจริง ๆ จัง ๆ ชนิดที่ไปจบลงด้วยการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ เทรนด์ DINK เทรนด์นี้เป็นเทรนด์ของคนที่ไม่โสด ใช้ชีวิตคู่ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเป็นคู่ชีวิตกันไปโดย “ไม่มีลูก”
แต่งงานสร้างครอบครัว แต่ไม่มีลูก มันจะไม่ขาดอะไรไปเหรอ?
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักเทรนด์ DINK กันก่อน โดย DINK นั้นถูกย่อมาจาก Double Income No Kid อันหมายถึง คู่แต่งงานที่มีรายได้ด้วยกันทั้งคู่แต่ไม่มีลูก ซึ่งคนกลุ่ม DINK นี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคู่หนุ่มสาวข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคู่สามีภรรยาสูงอายุที่มีลูกก็จริง แต่ลูก ๆ เติบโตจนย้ายออกจากบ้านไปแล้ว คู่ชีวิตกลุ่มเพศทางเลือก และคู่แต่งงานที่ตัดสินใจที่จะไม่มีลูก เป็นเป็นแนวทางการใช้ชีวิตคู่รูปแบบหนึ่งที่กำลังเป็นไปในสังคมเมือง มันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้คู่สามีภรรยาตกลงกันชัดเจนว่าจะไม่มีลูก
สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่แต่งงานแต่ “ไม่อยากมีลูก” เพิ่มมากขึ้น เป็นเพราะทัศนคติเกี่ยวกับการมีครอบครัวเปลี่ยนไป เป้าหมายของการแต่งงานไม่ใช่การมีทายาท แค่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่อง “เงิน” ถ้าเกิดเหงาขึ้นมา ก็หาเลี้ยงสัตว์มาเลี้ยงเป็นลูกก็เพียงพอแล้ว
คนกลุ่มนี้ไม่ได้รู้สึกว่าสูตรสำเร็จความเป็นครอบครัว จะต้องมี “ลูก” เสมอไป พวกเขามองว่าชีวิตคู่ที่ไม่มีลูกไม่ใช่ชีวิตรักที่ไม่สมบูรณ์ หากแต่การมีลูกจะสักแต่จะให้เกิดไม่ได้ มันมีหน้าที่ความรับผิดชอบอื่น ๆ เยอะแยะ ต้องมีจิตสำนึกของความเป็นพ่อเป็นแม่ มีเวลาที่จะเอาใจใส่ ที่สำคัญ มีทุนทรัพย์ที่มากพอที่จะเลี้ยงให้เติบโตเป็นประชากรคุณภาพ ต้นทุนการมีลูกมันมหาศาลในสังคมยุคนี้
คนสมัยใหม่ตระหนักดีว่าการเป็นพ่อแม่คนไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขารู้สึกว่าตนเองต้องเสียสละอะไรหลายอย่างในชีวิตเพื่อแลกกับการเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย เวลา อิสระที่จะใช้ชีวิตของตนเองให้มีสนุกสนานและมีความสุข รวมถึงความกลัวต่อสภาพสังคมที่เด็กจะเกิดมา ล้วนเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ ถ้าจะทำให้เด็กคนหนึ่งลืมตาดูโลก และเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แทบจะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะอยู่รอดปลอดภัยได้จนสิ้นอายุขัย มันมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้มากเกินไป และความอยู่ยากที่พวกเขาประสบพบเจอมาเอง พวกเขาไม่อยากให้ลูกหลานตัวเองต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเช่นเดียวกัน พวกเขารู้ดีว่าเด็กก็ไม่อยากเกิดมาเจออะไรแบบนี้!
การใช้ชีวิตคู่อยู่กินฉันสามีภรรยาแต่ไม่มีลูกด้วยกัน จึงเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่ให้ความสนใจ สืบเนื่องมาจาก “ความไม่พร้อม” ที่จะมีลูก แต่พวกเขาก็ยังต้องใช้ชีวิตของตัวเองต่อไปอย่างมีความสุขจนล่วงเลยเข้าสู่วัยเกษียณ วัยชราภาพ คู่สามีภรรยาจึงต้องวางแผนร่วมกันที่จะมีอนาคตบั้นปลายที่ไม่ลำบากจนเกินไป เพราะพวกเขาไม่มีลูกหลานให้พึ่งพิง สิ่งสำคัญมากก็คือ “เงิน” ที่ต้องมีเก็บออมและหัดลงทุนไว้บ้าง เพื่อให้เงินในวันนี้กลับมาเลี้ยงดูพวกเขาในอนาคต เพราะการไม่มีบุตรหลานถือเป็นความเสี่ยงที่พวกเขาก็ต้องวางแผนและออกแบบชีวิตให้ดี
เน้นทำมาหากิน ออมเงิน ลงทุน เพราะมีรายได้จาก 2 ทาง
การที่คู่รักสาย DINK ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวเกี่ยวกับลูก มีเวลาที่จะเอาไปทุ่มเทให้กับการหาเงินได้โดยไม่ต้องแบ่งเวลามานั่งเลี้ยงลูก รวมถึงพวกเขามีรายรับ 2 ทางจากคนทั้ง 2 คน ทำให้คนกลุ่ม DINK มีโอกาสที่จะมีเงินมากกว่าคู่รักที่มีลูก การที่พวกเขามีเงิน มีกำลังจ่าย สร้างเนื้อสร้างตัวจนฐานะดี เป็นการวางแผนชีวิตในอนาคตนั่นเอง พวกเขาจะพยายามนำเงินที่มีส่วนหนึ่งไปเก็บออมหรือลงทุนเพื่อให้เงินมันงอกเงย ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็สามารถใช้จ่ายเพื่อสนองความต้องการของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้จะมีค่าใช้จ่ายในบ้านน้อยกว่าคนโสด เพราะพวกเขาสามารถหารครึ่งค่าใช้จ่ายกับคู่ของตัวเองได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคู่รักแต่ละคู่ด้วย
ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าคู่รักที่เป็น DINK แล้วจะมีโอกาสรวยได้ทุกคู่ หรือจะรวยโดยอัตโนมัติ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การจะมีเงินมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการหาเงินและการใช้เงินของคนเหล่านั้นด้วย เพราะฉะนั้น ต่อให้คนกลุ่มนี้จะไม่มีภาระเรื่องลูกและทำงานมีรายได้ 2 ทาง แต่ถ้าใช้เงินเก่งเกินตัวและไม่ขยันหา ไม่อดออม ไม่รู้จักลงทุน หมดไปกับอบายมุข ไม่วางแผนชีวิตในอนาคตหลังเกษียณหรือทำงานไม่ไหวแล้ว คนกลุ่มนี้ก็สามารถล้มเหลวทางการเงินได้เหมือนกัน
เมื่อคนกลุ่ม DINK มีโอกาสออมเงินและลงทุนได้มากกว่ากลุ่มคนที่มีลูก ครอบครัวที่ทำงานเพียงคนเดียว และคนโสด ทำให้คนกลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรูหรา ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์อาจจะเน้นไปที่การเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยพื้นที่ใช้สอยขนาดย่อมในราคาคุ้มค่ามากกว่า เพราะการมีกันแค่ 2 คน บ้านหลังใหญ่ที่มีหลายห้องอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้มากนัก คนกลุ่มนี้เป็นเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เพื่อการลงทุน เพราะมีโอกาสที่จะนำเงินบางส่วนมาลงทุน ในหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างความมั่งคงให้กับตัวเองและครอบครัว
ย้อนกลับไปมองในจุดที่คู่รักกลุ่ม DINK ไม่มีลูกหลาน หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วตอนแก่ตัวลงจนไม่สามารถทำงานได้ล่ะ ใครจะเลี้ยงดูคนกลุ่มนี้ จริง ๆ การมีลูกก็ไม่ได้หมายความว่าจะหวังพึ่งพาให้ลูกมาเลี้ยงดูในยามแก่เฒ่า เพราะตัวเราเองควรจะวางแผนชีวิตของตนเองไว้ทั้งชีวิตว่าจะอยู่อย่างไรไม่ว่าจะมีลูกหรือไม่ก็ตาม สำหรับคนกลุ่ม DINK ที่ไม่มีลูกและมีการวางแผนทางการเงินที่รอบคอบมาโดยตลอด คนกลุ่มนี้สามารถมีชีวิตตอนแก่ได้อย่างสุขสบาย เนื่องจากปัจจุบันมีธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุอยู่มากมาย การมีเงิน ทั้งจากเงินออม เงินสำรองฉุกเฉิน และเงินจากการลงทุน ทำให้พวกเขาสามารถจ่ายเพื่อซื้อความเป็นอยู่ที่มั่นคงในวัยชราได้