เหนื่อย! ไม่อยากเป็นคนเก่ง แต่หยุดพัฒนาได้จริงเหรอ?
เมื่อการวิ่งตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคสมัยนี้ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึก “เหนื่อย” กับการที่ต้องดิ้นรนพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะได้เป็นคนเก่งและอยู่รอดในสังคมที่มีการแข่งขันสูง คำว่า “อ่อนแอก็แพ้ไป” ดูจะเป็นข้อเท็จจริงในสังคมปัจจุบัน มีแค่คนที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาตัวเองเท่านั้นที่จะได้ไปต่อ ส่วนคนไร้ทักษะ ไร้ความสามารถ เมื่อธรรมชาติคัดสรรออกไปก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ในสักวัน ถึงอย่างนั้น บางทีมันก็เหนื่อยเกินไปอยู่ดี การใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 เนี่ย!
ทว่าโลกในยุคศตวรรษที่ 21 นี่แหละที่ทำให้เกิดเทรนด์ของคนยุคใหม่ เทรนด์การใช้ชีวิตเรียบง่าย ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวังความสำเร็จหรือความร่ำรวย อยู่แบบ “ฉันไม่ได้อยากเป็นคนเก่ง แค่อยากเป็นคนธรรมดา (ที่ถูกหวย)” เพราะสภาพสังคมมันดูสิ้นหวังสำหรับคนกลุ่มนี้ รู้สึกว่าการที่ต้องออกไปแข่งขัน ใช้ชีวิตแบบรีบประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ๆ เป็นอะไรที่ไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน ดังนั้น ฉันขอใช้ชีวิตแบบหวานเย็นของฉันไป ไม่แข่งขันกับใคร ไม่ได้อยากเป็นคนเก่ง แค่อยากมีความสุขทำไมมันยากจัง ไม่อยากกดดันและรับมือกับความผิดหวังใด ๆ อีก ใช้ชีวิตธรรมดาก็เหนื่อยพอแล้ว ถึงอย่างนั้น เราหยุดดิ้นรนพัฒนาตัวเองได้จริง ๆ เหรอในสังคมยุคนี้
คนอื่นเขาประสบความสำเร็จหมดแล้ว มีเพียงฉันที่ย่ำอยู่กับที่!
แน่นอนว่าการมองเห็นเพื่อนฝูงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันประสบความสำเร็จนำหน้าเราไปหลายก้าว คนเหล่านั้นได้เรียนต่อ ทำงานในบริษัทใหญ่ ได้เลื่อนตำแหน่ง เติบโตในหน้าที่การงาน เงินเดือนดี มีสวัสดิการชั้นเลิศ มีบ้านราคาหลายล้าน มีรถหรูหลายคัน แต่งงานมีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก ไปเที่ยวต่างประเทศได้แทบจะทุกเดือน และอีกมากมายหลายอย่างที่ดู ๆ แล้วพวกเขาคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แทนที่จะรู้สึกชื่นชม ยินดีด้วยกับเขาอย่างจริงใจ กลับรู้สึกว่ามันก็แค่มารยาท รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่นิด ๆ อิจฉาพวกเขาอยู่หน่อย ๆ เพราะดันไปเปรียบเทียบกับตัวเองว่าแล้วทำไมฉันถึงยังไปไม่ถึงจุดนั้นเสียทีล่ะ แม้แต่ครึ่งทางของพวกเขาฉันก็ยังทำไม่ได้เลย
เมื่อหันกลับมามองตัวเองยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง ทั้งที่พยายามตะเกียกตะกาย ดิ้นรน ปีนป่ายให้หลุดพ้นจากวังวนเดิม ๆ แทบตาย ไม่เห็นจะได้อะไรตอบแทนเลยสักนิด ไม่ก้าวหน้าไปไหน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง เหมือนย่ำอยู่กับที่มาโดยตลอด จนเริ่มรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องไขว่คว้า “เส้นชัย” ที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงไหม กลายเป็นความรู้สึกด้านลบในจิตใจ ไม่พึงพอใจในชีวิต เริ่มรู้สึกตัวเองเป็นพวกขี้แพ้ไม่เอาไหน ไม่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ก่อเกิดเป็นความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ตามมา แม้จะรู้ดีว่าไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดและรู้สึกจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม หลายคนก็เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าการพยายามจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จโดยใช้ความสำเร็จแบบเดียวกันของคนอื่นเป็นมาตรวัด อยากที่จะมีนั่นมีนี่เหมือนกับคนอื่น ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าเราเท่าเทียมกัน หรือการที่จะต้องเอาใจคนอื่นที่คอยกดดันอยู่รอบ ๆ แล้วฝืนใจตัวเองเสมอ ๆ มันไม่อาจที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขได้เลย การวิ่งไปข้างหน้าโดยเน้นแค่ความเร็วเพื่อให้ทันคนอื่น แต่ไม่รู้ว่าตนเองต้องไปหยุดที่ตรงไหน ไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร มีแต่จะทำให้เราตั้งคำถามที่ไม่จำเป็นกับตัวเองว่า “เท่านี้ดีพอหรือยัง?” หรือ “เรายังไม่เก่งใช่ไหม?”
แล้วถ้าฉันจะลดความเร็วลง เปลี่ยนจากการวิ่งเป็นการเดิน เปลี่ยนเป้าหมายจากความสำเร็จแบบที่เห็นคนอื่น ๆ เขามีเขาเป็น เป็นแค่ฉันจะใช้ชีวิตของฉันง่าย ๆ ทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองพอใจและมีความสุข ฉันไม่ได้อยากเป็นคนเก่ง ฉันไม่ได้อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข คนธรรมดาที่เดินไปข้างหน้าช้า ๆ ก็ได้ ไม่ต้องแข่งขันความสำเร็จกับใคร ถ้าฉันเหนื่อย ฉันก็จะอยู่เฉย ๆ ถ้าฉันไม่ชอบ ฉันก็จะไม่ฝืนใจทำ ฉันจะทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีและเป็นผลดีกับตัวเอง แต่จะไม่ตามใจคนอื่น ที่บอกว่าฉันต้องทำและไม่ทำอะไร
ฉันไม่อยากเป็นแล้วคนเก่ง ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดา ไม่ได้เหรอ?
นั่นสิ ทำไมคนเราถึงจะ “เป็นคนธรรมดา ๆ” ไม่ได้ล่ะ ถ้ามันไม่ใช่ความปรารถนาของตัวเราเองแล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรอื่นเลยที่เราจะต้องรีบกดดันตัวเองให้ประสบความสำเร็จกันขนาดนั้น และยิ่งถ้าหากว่าความสำเร็จเหล่านั้นถูกขีดขึ้นโดยคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือค่านิยมของสังคมที่เติบโตมา จำเป็นแค่ไหนที่เราจะต้องฝืนตัวเองทำในสิ่งที่ใจของเราไม่ได้ต้องการ เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของคนรอบข้าง
ก่อนอื่น เราต้องมาปรับทัศนคติตัวเองกันก่อนว่ามีมุมมองเกี่ยวกับความสำเร็จอย่างไร มองว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่สิ่งที่ตนเองเรียกว่าชีวิตประสบความสำเร็จ ใช่การที่ต้องมีบ้าน มีรถ แต่งงาน รีบรวย รีบเป็นเจ้าของกิจการ หรือมีอิสระทางการเงินก่อนอายุ 30 หรือเปล่า หรือสิ่งเหล่านี้แหละที่ชี้วัดว่าชีวิตประสบความสำเร็จ แต่ฉันไม่ได้รีบขนาดนั้น เป็นสักก่อนอายุ 40 ก็แล้วกัน หรือภายในอายุ 50 ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันช้าไปสักหน่อย หรือจริง ๆ แล้ว แค่ “ยังไม่ตาย” หรือ “ได้กินของอร่อย” หรือ “ได้ไปเที่ยวในที่ที่อยากไป” หรือ “ได้บอกรักใครสักคน” แค่นี้ชีวิตก็ประสบความสำเร็จแล้ว! แล้วถ้าเลือกทางผิดแค่ครั้งเดียว จะกลายเป็นคนที่ล้มเหลวทั้งชีวิตหรือเปล่า จะโดนสังคมตราหน้าไหม
แล้วการที่เราไม่ได้ใฝ่หาความสำเร็จในรูปแบบดังที่กล่าวไปข้างต้น จะถือว่าเป็นความผิดปกติหรือเปล่า คำตอบอยู่ที่การพิจารณาของแต่ละบุคคล ว่าตนเองอยากจะได้อยากจะมีแบบนั้นจริง ๆ หรือมันเป็นสิ่งที่สังคมหล่อหลอมมาว่าคนในสังคมต้องได้ต้องมีแบบนั้นถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จกันแน่ บริบทต่าง ๆ ของสังคมทำให้เรามองว่าความสำเร็จเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ต้องทำให้ได้หรือเปล่า ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จแบบนั้น แปลว่าเราไม่ปกติสินะ พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และอย่าเผลอเอาคุณค่าของความเป็นคน ไปผูกติดอยู่กับมูลค่าของความสำเร็จโดยไม่รู้ตัว
ถ้ารู้แล้วว่าความสำเร็จเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือรู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไปที่จะต้องวิ่งตามความฝันที่สวยงามแต่ว่างเปล่า รวมถึงตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่า “เราจะต้องทนลำบากขนาดนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” การที่ไม่ประสบความสำเร็จแบบเดียวกับคนอื่น มันลดทอนคุณค่าในตัวเราเองหรือเปล่า หรือเราแค่เอาตัวเองเข้าไปเปรียบเทียบแล้วรู้สึกด้อยคุณค่าของตัวเองเอง ถ้าหากว่าการไม่ประสบความสำเร็จเหมือนใครเขาไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวเองลดลง ดังนั้น เราก็ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและมีความสุขของเราได้สิ! ไม่ต้องโดดเด่น แต่เป็นเท่าที่เราพึงพอใจ
แล้วทำไมคนยุคใหม่จำนวนไม่น้อยถึงไม่ต้องการที่จะทะเยอทะยานที่จะเป็นคนเก่ง หรือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอีกแล้วล่ะ อยากเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ที่มีความสุขกับชีวิตก็พอ นั่นเป็นเพราะหลายคนมีสิ่งที่ต้องแบกไว้บนบ่าในขณะที่ต้องวิ่งไขว่คว้าหาความสำเร็จไปด้วยไงล่ะ มันทำให้คนเหล่านั้นทุกข์ทรมานจากการวิ่งตามความสำเร็จมากเกินไป และรู้สึกว่ารสชาติของการเป็นผู้ใหญ่มันช่างเจ็บปวด ชีวิตประจำวันของคนเรามันไม่ได้ควบคุมได้ทุกอย่างขนาดนั้น มีหลายสิ่งอย่างที่อยู่เหนือการควบคุม แค่ต้องเผชิญสิ่งเหล่านั้นก็เหนื่อยมากพอแล้ว ดังนั้น ฉันจึงไม่ต้องการที่จะเป็นคนเก่งที่สุดที่จัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉันแค่อยากเป็นคนธรรมดา อยากอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องดิ้นรนพิสูจน์ตัวเอง
แต่การเป็นคนธรรมดา ก็จะต้องเอาตัวเองให้รอดด้วยในสังคมยุคนี้ ยุคที่ “อ่อนแอก็แพ้ไป” ของจริง เพราะการเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร มันมีผลต่อการทำงาน หากเราเป็นคนที่ไม่พัฒนาตัวเอง ตามโลกไม่ทัน เป็นแรงงานประเภทไร้ฝีมือ ทักษะความสามารถไม่มีเหมือนคนอื่น เมื่อโลกของการทำงานค่อย ๆ ถูกเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ ตำแหน่งงานที่เป็นคนก็น้อยลงทุกที หรือการจะเป็นเจ้าของกิจการเอง หากไม่เรียนรู้ที่จะปรับตัว ก็คงพากิจการตัวเองไปไม่รอดเหมือนกัน คำถามคือเราสามารถเป็นคนที่ไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง ใช้ชีวิตแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ บนโลกนี้ได้มากน้อยแค่ไหนกัน ถึงจะเหนื่อยวิ่งตามโลก แต่เราหยุดตัวเองเลยได้ไหม อย่าลืมโลกแห่งความเป็นจริง!
ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ พัฒนาตนเองไปก็ได้ แต่อย่าหยุดนิ่งไปเลยก็พอ
เพราะสังคมในยุคปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความเร่งรีบไปหมดทุกอย่าง รีบโต รีบเรียน รีบจบ รีบทำงาน รีบสำเร็จ รีบรุ่ง รีบรวย อันที่จริง หลาย ๆ ชีวิตที่ถูกติดแท็กความรีบไว้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งของวงจรเริ่มมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ที่บางคนยังมีทัศนคติแบบเก่าว่า “รีบมีลูก จะได้โตทันใช้” ซึ่งทำให้เด็กที่เติบโตมาในทัศนคติแบบนี้ถูกติดแท็กความรีบทุกอย่างข้างต้น เพราะพวกเขาต้อง “รีบพึ่งพาได้” นั่นจึงทำให้พวกเขาต้องรีบโต รีบเรียน รีบจบ รีบทำงาน รีบสำเร็จ รีบรุ่ง รีบรวย เพื่อที่จะรีบทดแทนบุญคุณ โดยเจ้าตัวแทบไม่มีช่องว่างสำหรับหายใจหายคอในแต่ละช่วงวัยของชีวิตด้วยซ้ำไป
หลายคนแบกความกดดันของครอบครัวมาจากรุ่นสู่รุ่น เพราะเติบโตมาในครอบครัวที่เริ่มต้นแบบติดลบ สถานะ “ฮีโร่ของบ้าน” ถูกประทับไว้บนหน้าผาก เป็นบุคคลสำคัญที่จะพลิกชีวิตที่ติดลบของคนทั้งครอบครัวให้กลับมาบวกได้ แต่นั่นเป็นน้ำหนักที่เกินกว่าคนหนึ่งคนจะรับไหว ทว่าโลกของความเป็นจริงมันไม่ได้ประสบความสำเร็จกันได้ง่ายดายแบบที่ถูกเขียนลงในหนังสือพัฒนาตนเอง การขยัน อดทน บ่อยครั้งมันไม่ได้การันตีผลลัพธ์ที่สวยงามตามไปด้วย ไหนจะข้อเท็จจริงเรื่องค่าครองชีพสูง แต่รายได้ไม่สูงตาม การไต่เต้าที่ต้องแลกมาด้วยสุขภาพกายและใจเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ในเมื่อมันไม่ได้คุ้มค่าที่ต้องแลก หลายคนก็คงพอ เพราะมันทำให้เราเหนื่อยล้ากว่าเดิม
หากการดิ้นรนพัฒนาตัวเองในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะ “เป็นคนเก่งให้เร็วที่สุด” หรือเพราะ “กลัวว่าจะกลายเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” กำลังทำให้เราเครียดมากเกินไปจนรู้สึกอยากถอดใจ ต้องบอกว่าการพัฒนาตัวเองในยุคนี้มีความสำคัญและจำเป็นจริง ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีทักษะในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะสังคมในยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นปัจจัยเร่งเช่นนี้ คนที่หยุดพัฒนาคือคนที่จะไม่ได้ไปต่อจริง ๆ นี่คือข้อเท็จจริงที่เราควรจะต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพราะฉะนั้น ต่อให้เหนื่อยล้าแค่ไหนก็หยุดพัฒนาตนเองไม่ได้ ถ้าหยุดนิ่งไปเลย ก็เท่ากับตัวเองเดือดร้อนจริง ๆ แน่
ดังนั้น ทางสายกลางที่ดีที่สุดในยุคที่ผู้คนแข่งขันเพื่อให้ทันความเร่งรีบต่าง ๆ จนรู้สึกหลงทาง ท้อแท้ หมดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต และเหลือเป้าหมายในชีวิตเพียงแค่ “ไม่ตายก็บุญแล้ว” แบบนี้ จะต้องมีแนวทางอย่างไรกันล่ะ ต่อให้ไม่ได้อยากประสบความสำเร็จ ไม่อยากเป็นคนเก่ง ไม่อยากเป็นคนรวย อยากเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง แต่โลกความเป็นจริงก็ไม่ใจดีให้เราหยุดพัฒนาตัวเองได้ ไม่อย่างนั้นคงได้เปื่อยยุ่ยไปแบบคนตกงาน หรือคนที่เปิดกิจการตัวเองก็ไปไม่รอด เพราะสู้คนอื่น ๆ ในโลกของอาชีพการงานไม่ได้ ชีวิตต้องทำงานเพื่อที่จะมีเงิน ถ้าไม่มีงานที่ทำได้แล้วไปรอด ด้วยไม่รู้จักพัฒนาตนเองเลยสักอย่าง ก็ต้องคิดให้ออกว่าจะหาเงินอย่างไรโดยสุจริต
คำตอบก็คือ หาวิธีการพัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงานของตัวเอง สร้างแรงบันดาลใจในการใฝ่เรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นมาเอง จุดประสงค์ที่ไม่ต้องอยากแข่งขันกับใคร ไม่ต้องรีบกดดันตัวเอง ไม่ต้องเป็นคนเก่งกว่าใคร แค่เป็นคนที่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เหนื่อยก็พัก ไปต่อเมื่อพึงพอใจ เพื่อเพิ่มทักษะและศักยภาพของตนเองติดตัวไว้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้งาน เป้าหมายคือตนเองจะต้องอยู่รอด เพราะถ้าเอาตัวไม่รอดในโลกยุคนี้ ชีวิตก็เป็นคนธรรมดาที่มีความสุขไม่ได้อยู่ดี!
การเป็นคนธรรมดานั้นไม่ได้ผิดอะไรเลย คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตธรรมดาให้หมดไปในแต่ละวัน ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าที่จำเป็น เพราะเอาเข้าจริง มันก็เหนื่อยไม่ใช่เล่นที่ต้องวิ่งตามความสำเร็จให้ได้ในเร็ววัน แต่เรามีช่วงเวลาที่สุกงอมที่สุดของตัวเองได้ คนเราย่อมเติบโตเป็นตัวเองและสวยงามในแนวทางของตัวเอง แต่ในอีกมุม เราก็ต้องรู้ว่าถ้าจะต้องจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้แบบที่เอาตัวรอดได้ เราก็ไม่สามารถที่จะหยุดพัฒนาตนเองได้เลยจริง ๆ หากไม่มีทักษะความสามารถใด ๆ ในยุคนี้ เราจะไม่ใช่แค่คนธรรมดา แต่จะกลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์จนไม่มีใครต้องการเลยมากกว่า คนธรรมดา ไม่ต้องเก่งก็ได้ แต่ไม่ใช่คนที่ไร้ความสามารถ!
หรือถ้าพอใจจะใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ให้โชคชะตาพาไป ไม่ใฝ่หาเรื่องความสำเร็จ เมื่อเจอสถานการณ์เลวร้ายก็แค่ยอมรับมัน ช่างมันเข้าไว้ อยู่แบบไม่มีความหวัง โทษลมโทษฟ้า ไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องพยายามเอาตัวให้รอด ก็จะรู้เองว่าโลกแห่งความเป็นจริงไม่เอื้อให้เราเป็นคนธรรมดาที่อยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่ต้องดิ้นรนหรอก ไม่เช่นนั้นธรรมชาติก็จะคัดสรรเราออกจากการแข่งขันไปเอง สุดท้ายแล้ว ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนกันไปแบบนี้แหละ ถึงจะไม่ใช่คนเก่ง ไม่ได้อยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยากรวย อยากจะเป็นแค่คนธรรมดา ๆ ก็ไม่มีใครว่า แต่จะหยุดอยู่นิ่ง ๆ ไม่ก้าวไปข้างหน้าเลย แบบนั้นก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน