อีกด้านของความรักที่ลงท้ายด้วยการ “ฆาตกรรม”

อีกด้านของความรักที่ลงท้ายด้วยการ “ฆาตกรรม”

อีกด้านของความรักที่ลงท้ายด้วยการ “ฆาตกรรม”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจสำหรับคนที่ติดตามข่าวสารอาชญากรรมเป็นประจำ ที่ข่าวคนฆ่ากันตายถูกนำเสนอให้เห็นทางสื่อบ่อยมาก นอกเหนือจากการฆ่ากันด้วยปัญหาความขัดแย้ง ก็ข่าวที่ฆ่ากันเนื่องมาจากความรักนี่แหละที่เจอบ่อยจนผิดปกติ ผิดปกติที่ว่าก็คือ “การฆ่ากันด้วยเหตุผลมาจากความรัก” เพราะทั้งเหยื่อและผู้ก่อเหตุเคยมีสถานะเป็นคนรักกัน ทว่าเมื่อหมดรักกันแล้ว แทนที่จะต่างคนต่างแยกย้ายจบกันเหมือนการเลิกราธรรมดา ๆ มันกลับกลายเป็นการเลิกราที่ต้องแลกด้วยชีวิตใครคนใดคนหนึ่ง หรืออาจจะทั้งคู่เลยก็ได้เช่นกัน

อันที่จริงข่าวลักษณะนี้เกิดขึ้นถี่ยิบแทบจะทุกวัน แถมบางวันไม่ได้มีแค่ข่าวเดียวด้วย เพียงแต่มันอาจจะเป็นข่าวเล็กข่าวใหญ่แตกต่างกันไปเท่านั้นเอง ข่าวเล็ก ๆ หลายข่าวอยู่ในช่วงข่าวชาวบ้านธรรมดา ถูกหยิบยกมาอ่านไม่กี่นาทีว่าผัว (เก่า) ฆ่า (อดีต) เมีย แล้วก็เปลี่ยนไปพูดถึงข่าว แต่บางข่าวถูกนำเสนอเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ เป็นที่พูดถึงไปทุกหนทุกแห่งอยู่หลายวัน หากเหยื่อหรือผู้ก่อเหตุมีสถานะทางสังคมที่น่าจับตามอง และข่าวลักษณะนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อโดยที่แทบจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย หลายรายเลิกราเด็ดขาดไปแล้ว ไม่ได้ทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่ก็ยังถูกฆ่าให้ตายได้อยู่ดี เพราะคนก่อเหตุไม่ต้องการที่จะจบความสัมพันธ์

ความรักที่จบลงต้องแลกด้วยชีวิตไม่ใช่เรื่องใหม่

“รักเกินรักมักทำลาย” หลายคนน่าจะเคยได้ยินวลีดังกล่าวกันมาบ้าง วลีสั้น ๆ ที่สะท้อนให้เห็นอีกด้านของความรักที่มืดมน ซึ่งมันแตกต่างจากด้านสีชมพูสว่างสดใสที่ใครต่อใครนิยมชมชอบโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนไปเลยว่าความรักไม่ได้มีแค่ด้านที่หวานชื่นเพียงด้านเดียวเท่านั้น ลักษณะของการก่อเหตุ อาจเป็นความรักที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอ้างว่ารักมากจนไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายไปจากตนได้ตราบเท่าที่ตนยังมีชีวิตอยู่ หรืออีกกรณีก็คือเคยรักแต่ตอนนี้ไม่รักแล้ว และอีกฝ่ายก็กลายเป็นตัวเกะกะที่ขัดแข้งขัดขาขวางทางชีวิตจนต้องหาทางกำจัด ไม่ว่าจะเพราะรักมากหรือเคยรัก มันก็นำไปสู่จุดจบ “ฆ่าให้ตาย” ได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ความรักรุนแรงที่แปรเปลี่ยนไปเป็นเป็นความขัดแย้ง ความหึงหวง ความเจ็บปวด ความอาฆาตแค้น และความยึดติดในตัวอีกฝ่ายจนไม่สามารถที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระง่าย ๆ ด้วยการเลิกรากันไป สุดท้ายเลยลงเอยด้วยการต้องฆ่าให้ตายเท่านั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมแต่อย่างใด ข่าวลักษณะนี้มีให้เห็นมานานหลายสิบปีแล้ว อย่างในอดีตก็เคยมีคดีดังที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกคนรักหรืออดีตคนรักฆ่าตาย อันมีจุดเริ่มต้นมาจากความรัก คดีเหล่านั้นเป็นที่โจษจันมาจนถึงปัจจุบัน ตรงที่มีอย่างน้อย 4 คดี ที่ผู้ก่อเหตุเป็นถึง “หมอ”

คดีดังที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนไทยหลายคน คงจะหนีไม่พ้น คดี “หมออธิป” ฆ่าภรรยาพยาบาล “นวลฉวี” คดี “หมอบัณฑิต” จ้างวานฆ่า “ศยามล” คดี “นิสิตแพทย์เสริม” ฆ่า “เจนจิรา” แฟนสาวรุ่นพี่ และคดี “หมอวิสุทธิ์” ฆ่าหั่นศพภรรยา “หมอผัสพร” เนื่องจากผู้ก่อเหตุเป็นถึง “หมอ” จึงเป็นที่จดจำและเป็นที่พูดถึงค่อนข้างเยอะ ทว่านอกจากคดีพวกนี้แล้ว ก็ยังมีอีกหลายสิบคดีที่เหยื่อและผู้ก่อเหตุเป็นชาวบ้านที่เคยรักกันธรรมดา ๆ นี่แหละ แต่จุดจบคือการที่ฝ่ายหญิงถูกฝ่ายชายฆ่าตาย บางคดี ลูกของทั้งคู่ก็ถูกฆ่าด้วย ทำไมกันนะ คนเคยรักกันมาก พอมาถึงจุดที่ความรักไปต่อไม่ได้ จึงหาทางออกด้วยการฆ่าอีกฝ่าย มันเลยดูเหมือนว่าคนที่มีความรักมีโอกาสเจอกับตัวเข้าสักวัน

ทำไมรักต้องฆ่า

เมื่อความรักเหือดแห้งหายไปทิ้งไว้แต่ความขุ่นข้องหมองแค้น เป็นเหตุให้คนสองคนที่เคยใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคนรักหรือสามีภรรยา สามารถลุกขึ้นมาฆ่าแกงกันได้อย่างง่ายดาย และเปลี่ยนสถานะกลายเป็นฆาตกรเพียงชั่วข้ามคืน บางคนทำไปอย่างขาดสติ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าไม่ได้วางแผนไว้ แต่ก็มีอีกหลายคนทีเดียวที่วางแผนก่อเหตุล่วงหน้า ตั้งใจที่จะพรากชีวิตของคนรักหรือเคยรักแบบที่ไม่มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีหรือไม่คิดจะยับยั้งชั่งใจด้วยซ้ำไป ลืมไปหมดแล้ว ช่วงเวลาที่เคยรักกัน

คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม มีจำนวนไม่น้อยที่มีชนวนเหตุมาจากเรื่องชู้สาว โดยส่วนใหญ่ผู้กระทำจะเป็น “ฝ่ายชาย” ซึ่งเป็น “คนรัก” หรือ “อดีตคนรัก” ของฝ่ายหญิงที่ตกเป็นเหยื่อนั่นเอง เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นถี่ยิบมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเหตุใดคนที่เคยรักกัน จึงสามารถลงมือฆ่ากันได้ง่าย ๆ ขนาดนี้ เลิกแล้วทำไมไม่แค่จบ ๆ กันไป ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบต่างคนต่างไป

เมื่อลองจำแนกออกเป็นหลาย ๆ กรณี กรณีแรกคือการฆ่าที่ชนวนเหตุคือความรัก รักที่ปรารถนาจะครอบครองฝ่ายเดียว หึงหวงรุนแรงด้วยเข้าใจว่าเป็นผลลัพธ์มาจากความรักมาก เมื่อบวกกับความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจนทำให้ฝ่ายหญิงไม่สามารถมีชีวิตอย่างอิสระ แค่คุยกับเพศตรงข้ามก็จะถูกเข้าใจว่ากำลังพยายามนอกใจหรือเตรียมตีตัวออกห่าง จึงกระทำรุนแรงต่อฝ่ายหญิงมาเรื่อย ๆ พอถึงจุดที่ฝ่ายหญิงไม่ทนและต้องการจะเลิก ทำให้ฝ่ายชายยอมรับไม่ได้ เพราะเข้าใจว่าแฟนหรือภรรยาคือทรัพย์สินของตนที่ตนมีสิทธิ์ชี้ขาดในชีวิต สุดท้ายจึงจบลงด้วยการฆาตกรรม

ความรักในรูปแบบข้างต้น สามารถเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นได้ตลอดเวลา ซึ่งจริง ๆ แล้วคนเหล่านี้เคยรักกันมาก่อน รักกันมาก พอไม่สมหวัง มีปัญหา เลิกรากันไปก็ทำใจไม่ได้ เกิดเป็นความโกรธ ความโมโห โดยเฉพาะยิ่งอีกฝ่ายมูฟออนเร็วมีแฟนใหม่ ก็จะยิ่งทวีความโกรธ หึงหวงทั้งที่อาจไม่มีสิทธิ์แล้ว เนื่องมาจากความเชื่อแบบผิด ๆ ที่ว่า ความเชื่อผิดๆ ที่ว่า “ฉันไม่ได้ คนอื่นก็ต้องไม่ได้” มันก็ยิ่งโหมอารมณ์รุนแรง พอขาดสติ ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบชนะ เรื่องมันเลยรุนแรงถึงขั้นทำลายล้าง

อย่างไรก็ตาม การก่อเหตุหลาย ๆ ครั้งไม่อาจมองว่าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเพียงอย่างเดียว เพราะมันอาจจะมีต้นเหตุมาจากบุคลิกภาพของบุคคลก็ได้เช่นกัน เวลาที่โกรธมาก ๆ หรือเสียใจมาก ๆ และรู้สึกผิดหวังในความรัก จิตวิทยาเบื้องหลังของบุคคลมีความสำคัญ พวกเขาเติบโตมาแบบไหน มันจะหล่อหลอมจิตไร้สำนึกของคนให้ออกมาเป็นแบบนั้น สำหรับหลายคน การผิดหวังในความรักอย่างรุนแรงจนถึงขั้นที่ต้องฆ่าคนรัก (และอาจฆ่าตัวตายตาม) มันอาจมีจุดเริ่มต้นมาจากการหิวโหยความรักที่ตนเองไม่เคยได้อย่างเต็มอิ่มในวัยเด็ก พอได้รับความรักมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกหวงแหนมันมากจนไม่อาจยอมเสียมันไป (ให้คนอื่น) มันจึงลงเอยด้วยการต้องทำลาย

เอาเข้าจริง คนเหล่านี้รับไม่ได้ตั้งแต่ที่คนรักของตนเองมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว เมื่อคนรักแสดงท่าทีห่างเหิน ไม่สนใจ ไม่ให้ความสำคัญ ทอดทิ้งให้เผชิญปัญหาตามลำพัง พวกเขากลัวการถูกทอดทิ้ง อยากจะเป็นที่รักของคนอื่นมาก ๆ พอถูกปฏิบัติในทางตรงข้าม พวกเขาจะรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ น้อยใจ เก็บสะสมความรู้สึกด้านลบไปเรื่อย ๆ เอาแต่ครุ่นคิดและหมกมุ่นอยู่กับความเสียใจนั้น ค่อย ๆ ขยายจักรวาลความทุกข์ของตัวเอง เมื่อถึงจุดที่มันแบกต่อไม่ไหวและระเบิดออก พวกเขาจึงทำลายคนที่ตัวเองรัก ด้วยความโกรธแค้นและสิ้นหวังในความสัมพันธ์นั่นเอง

อีกชนวนเหตุที่สำคัญ คือ การหมดรัก มีหลายเหตุการณ์ที่เดียวที่เริ่มต้นมาจากการที่ผู้ชายนอกใจก่อน ทำตัวให้ฝ่ายหญิงทนไม่ไหว ทว่าฝ่ายหญิงก็ไม่ยอมปล่อยให้ฝ่ายชายเป็นอิสระง่าย ๆ ในกรณีนี้ ฝ่ายหญิงจะกลายเป็นตัวเกะกะที่น่ารำคาญ ขวางมือขวางเท้า ทำอะไรก็ไม่ค่อยทำได้ถนัดนัก วิธีเดียวที่จะเป็นอิสระคือต้องกำจัดทิ้ง หรือมันอาจรวมถึงความเห็นแก่ตัวของฝ่ายชายด้วยก็ได้ ตนเองนอกใจได้ แต่พอภรรยาไม่ทนคิดจะเลิกรา กลับรับไม่ได้ คิดว่าตัวเองทำได้คนเดียวเท่านั้น ฝ่ายหญิงไม่มีสิทธิ์มาตีตัวจาก พอฝ่ายหญิงดำเนินการต่าง ๆ เพื่อจบความสัมพันธ์ ก็รับไม่ได้ เลยไปฆ่าเขาตาย คนที่มีตรรกะเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียวแบบนี้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

นอกจากนี้ ยังตรรกะพัง ๆ แบบที่ว่า “การปฏิเสธฉันเป็นความผิดร้ายแรง” ด้วย กรณีนี้เหยื่อและผู้ก่อเหตุไม่เคยอยู่ในความสัมพันธ์ด้วยกัน เพราะแค่จีบฝ่ายหญิงไม่ติด ฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย ก็เป็นมูลเหตุให้เกิดความเคียดแค้นอาฆาตจนถึงขั้นต้องฆ่าฝ่ายหญิงทิ้งได้เลย การถูกปฏิเสธทำให้คนกลุ่มนี้เลือดขึ้นหน้า รู้สึกถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรี เหมือนเป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ จึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นคนที่หลงตัวเองมาก ๆ ฆ่าคนอื่นตายได้ เพียงเพราะถูกปฏิเสธและตัวเองรับไม่ได้เอง!

จะเห็นว่าความรัก ในจุดหนึ่งปลายทางมันสามารถนำพาไปสู่การฆ่ากันตายได้ไม่ยากเลย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเพราะรักมากจนไม่อาจเสียไป การฆ่าเพราะหมดรักแล้ว แต่อีกฝ่ายเป็นตัวเกะกะจนต้องกำจัดทิ้ง หรือฆ่าเพราะแค้นที่เขาไม่รับรัก เพราะการถูกปฏิเสธเป็นเรื่องน่าอายและเสียศักดิ์ศรีสำหรับคนบางคน มีดีมาจากไหนถึงกล้าทำให้เสียหน้า พวกเขารับไม่ได้ที่ตัวเองถูกปฏิเสธ ก่อเกิดเป็นความแค้นที่ต้องมีใครสักคนรับผิดชอบ ใช่แล้ว! ทุกวันนี้คนเราฆ่ากันได้ด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่นี้แหละ!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook