เช็ก 4 สัญญาณเตือนภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภัยร้ายใกล้ตัวของคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ผู้คนมีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น เช่น รับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ขาดการออกกำลังกาย หรือสูบบุหรี่จัด บทความนี้จึงรวม 4 อาการที่เป็นสัญญาณเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแข็งตัว เพื่อให้สามารถสังเกตอาการเบื้องต้นและรีบพบแพทย์ได้ทันท่วงที

4 อาการเสี่ยงภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ใครมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อเช็กสุขภาพหลอดเลือดด่วน!

1. เจ็บจุกแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกาย

อาการเจ็บจุกแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกายเป็นสัญญาณเตือนภาวะหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น เช่น ขณะออกกำลังกาย อาจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบรัดหน้าอก หรือรู้สึกแน่นอึดอัดบริเวณหน้าอก บางครั้งอาจร้าวไปที่แขน คอ บ่า ไหล่ แขนทั้ง 2 ข้าง หากพบอาการเหล่านี้ ควรหยุดพักและปรึกษาแพทย์โดยด่วน

2. แขนขาอ่อนแรง

อาการแขนขาอ่อนแรงเกิดขึ้นได้ เมื่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแข็งตัวและตีบแคบลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงยกแขน กำมือไม่ได้ ไม่มีแรงเดิน เดินเซ ยกขาไม่ขึ้น บางครั้งอาจรู้สึกชาร่วมด้วย

3. ชาบริเวณใบหน้า

อาการชาบริเวณใบหน้าเกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแข็งตัวและตีบแคบลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นทั้งใบหน้า หรือชาครึ่งซีกคล้ายถูกฉีดยาชา อาการชานี้อาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น พูดไม่ชัด พูดคล้ายคนเมา หรือกลืนลำบาก หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

4. เวียนศีรษะ เห็นภาพซ้อน

เวียนศีรษะและเห็นภาพซ้อนเป็นอีกอาการที่เกิดขึ้นจากภาวะหลอดเลือดสมองแข็งตัว โดยอาจเวียนศีรษะบ้านหมุน นานมากกว่า 5 นาที เห็นภาพซ้อน หรือมองเห็นซีกเดียวของลานสายตา หากพบว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือรุนแรงขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ การรู้จักสังเกตอาการเตือน 4 ข้อข้างต้น จะช่วยให้เราสามารถตระหนักถึงความเสี่ยงและรีบเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเลือด จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหากมีข้อสงสัยหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของหลอดเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสมต่อไป