กฎหมายที่ควรรูู้ของ “นักศึกษาฝึกงาน” และการฝึกงานแบบ win-win
Thailand Web Stat

กฎหมายที่ควรรูู้ของ “นักศึกษาฝึกงาน” และการฝึกงานแบบ win-win

กฎหมายที่ควรรูู้ของ “นักศึกษาฝึกงาน” และการฝึกงานแบบ win-win
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปัญหาหนึ่งที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่เป็นประจำก็คือ “นักศึกษาฝึกงาน” คือใครและอยู่ตรงไหนของสังคม เมื่อพวกเขาเข้าไปขอฝึกงานกับบริษัทต่าง ๆ ใช้แรงใช้ความรู้ในการทำงานให้กับบริษัทแบบเดียวกันกับที่พนักงานประจำทำ แต่พวกเขาควรได้รับการปฏิบัติแบบไหน มีตัวตนอย่างไร เพราะถ้าพวกเขาไม่มีตัวตน ก็เท่ากับว่าพวกเขาไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แล้วถ้าพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ กฎหมายตัวไหนคุ้มครองพวกเขาได้บ้าง เพราะกฎหมายแรงงานก็ไม่สามารถใช้กับนักศึกษาฝึกงานได้ เนื่องจากสถานะของพวกเขาไม่ใช่ “ลูกจ้าง” ตามกฎหมาย

และอีกสิ่งที่ทำให้เหล่านักศึกษาฝึกงานรู้สึกไม่เป็นธรรม คือการที่ทางสถาบันการศึกษาที่นักศึกษาสังกัดอยู่ไม่มีการสนับสนุนหรือดูแลการฝึกงานของนักศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างฝึกงาน ที่เป็นภาระที่นักศึกษาต้องรับผิดชอบเอง พวกเขาต้องจ่ายแบบเดียวกันกับที่พนักงานประจำจ่ายเวลาเดินทางไปฝึกงาน แต่ไม่มีรายได้แบบพนักงานประจำ ค่าเทอมที่สมัครเรียนรายวิชาฝึกงานก็ต้องจ่าย ทั้งยังไม่มีสวัสดิการหรือการคุ้มครองใด ๆ จากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้ว่าการฝึกงานจะได้ประโยชน์มหาศาลแก่ตัวพวกเขาเอง แต่บางสิ่งบางอย่างก็สร้างความรู้สึกไม่ประทับใจ และความรู้สึกว่าตนเองถูกเอารัดเอาเปรียบได้เหมือนกัน
นักศึกษาฝึกงาน คือแรงงานคนหนึ่งหรือไม่?

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า “การฝึกงาน” นั้น คือหนึ่งในหลักสูตรของหลักสูตรการศึกษา เป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ดังนั้น ก่อนจะส่งนักศึกษาไปฝึกงานที่สถานประกอบการใด ๆ ทางสถานศึกษาต้องมีหนังสือไปถึงสถานประกอบการก่อน ว่ามาฝึกงานจากวิชาอะไร ระยะเวลานานแค่ไหน และที่สำคัญคือต้องมีอาจารย์ในการควบคุมการฝึก เมื่อสถานประกอบการตอบรับการฝึกงาน ส่วนใหญ่จะมีการลงนามใน “สัญญาฝึกงาน” ที่แจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ อย่างการระบุขอบเขตการทำงานอย่างชัดเจน ซึ่งอาจรวมถึงเวลาการทำงาน เข้าออกงาน ค่าตอบตอบแทน (ถ้ามี) และวันลา วันหยุดที่นักศึกษาฝึกงานจะได้รับ เช่นเดียวกับสัญญาจ้างในการทำงานจริง

ตามกฎหมายแรงงาน ระบุไว้ว่านักศึกษาฝึกงาน จะต้องเป็นบุคคลที่อายุ 15 ปีขึ้นไป เท่านั้น โดยต้องมีระยะเวลาในการฝึกงานไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และจะฝึกงานได้นานไม่เกิน 1 ปี เท่านั้น ส่วนกฎเกณฑ์ของการฝึกงาน ให้ยึดเทียบหลักกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน คือทำงานได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน และต้องมีเวลาพัก อย่างน้อย 1 ชั่วโมง/วัน เช่นเดียวกับพนักงานทั่วไป แต่ถ้าเกินกว่านั้นแล้วยังทำงานอยู่ ก็อาจจะต้องจ่ายค่าแรงเพิ่ม เพราะถือว่าเป็นการทำงาน “นอกเหนือ” จากการฝึกงาน

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการ “ฝึกงานทั่วไป” ที่เป็นการกล่าวอ้างเพียงฝ่ายเดียว และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา อาจจะตีความหมายได้ว่า “เป็นการทำงาน” ไม่ใช่เป็นการฝึกงาน กรณีนี้ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ต้องได้รับเงินค่าจ้างเป็นค่าแรงขั้นต่ำอย่างน้อย และมีวันหยุด วันพัก เหมือนพนักงานทั่วไป
นักศึกษาฝึกงาน ทำงานประเภทใดไม่ได้บ้าง ตามกฎหมายแรงงาน

นอกจากเรื่องของเงินค่าจ้างและสวัสดิการต่าง ๆ ที่ตกเป็นประเด็นดราม่าให้ได้ถกเถียงกันอยู่บ่อย ๆ อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการรับนักศึกษาฝึกงาน คือ ห้ามให้นักศึกษาฝึกงานทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด และทำงานอันตรายสำหรับเด็กตามที่กฎหมายกำหนด ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีการแจ้งรายชื่องานอันตรายสำหรับเด็ก (หากตอนฝึกงานอายุต่ำกว่า 18 ปี) ไว้ดังนี้

  1. งานปั๊มโลหะ
  2. งานเป่า หลอม หล่อ รีดโลหะ
  3. งานสารเคมีอันตราย
  4. งานซึ่งทำในห้องเย็นในอุตสาหกรรมการผลิต หรือการถนอมอาหารโดยการทำเยือกแข็ง
  5. งานดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
  6. งานในห้องปฏิบัติการชันสูตรโรค
  7. งานใช้เลื่อยไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์
  8. งานผลิตหรือขนส่งพลุ ดอกไม้เพลิง หรือวัตถุระเบิดอื่น ๆ
  9. งานขับรถยก หรือปั้นจั่น
  10. งานที่ใช้เครื่องเจาะกระแทก
  11. งานทำความสะอาดเครื่องจักรขณะทำงาน
  12. งานเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสี
  13. งานที่ต้องทำบนที่สูง 10 เมตรขึ้นไป
  14. งานผลิตหรือขนส่งสารก่อมะเร็ง ตามที่กฎหมายกำหนด
  15. งานโรงฆ่าสัตว์
  16. งานใต้ดิน ใต้น้ำ หรือในอุโมงค์
  17. งานที่ทำในสถานที่เล่นการพนัน
  18. งานที่ทำในสถานบริการ ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ

หากพบว่ามีบริษัทที่ให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานเหล่านี้ หรือได้รับอันตรายต่อทั้งร่างกายและจิตใจ หรือถึงแก่ความตาย บริษัทจะถูกปรับ 400,000-2,000,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
นักศึกษาฝึกงาน แรงงานฟรีหรือต้องจ่ายเงิน?

ประเด็นหนึ่งที่มีการถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้งก็คือ กรณีที่ทางสถาบันการศึกษามีหนังสือส่งเด็กเข้าไปฝึกงานตามหลักสูตรการศึกษา เด็กฝึกงานควรจะได้ค่าจ้างหรือไม่นั้น สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เคยชี้แจงไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นการฝึกงานตามกฎหมายของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือการฝึกงานตามที่สถาบันการศึกษาส่งมาฝึกงาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา บริษัทที่รับฝึกงาน “ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้าง” และไม่ต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม

การที่กฎหมายไม่บังคับกับบริษัทว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักศึกษาฝึกงาน เนื่องจากจุดประสงค์ของการฝึกงาน ของนักศึกษา ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำงานเพื่อรับค่าจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน แต่เป็นการฝึกปฏิบัติเพื่อเตรียมทักษะก่อนเข้าตลาดแรงงาน หรือเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษา ที่ระบุไว้ว่าต้องผ่านการฝึกภาคปฏิบัติ เรียนรู้ และสร้างเสริมประสบการณ์ตรงเป็นสำคัญ ดังนั้น การที่บริษัทรับนักศึกษาฝึกงานเข้ามาฝึกงานจึงมิใช่การจ้างแรงงาน รรรมถึงสถานะของทั้ง 2 ฝ่ายมิใช่นายจ้างลูกจ้างกัน

เมื่อสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ส่งหนังสือถึงบริษัท เพื่อขอส่งนักศึกษาฝึกงานเพื่อประกอบหลักสูตรการศึกษา นักศึกษาฝึกงานจึงไม่ได้ตกลงทำงานให้บริษัทโดยรับค่าจ้าง ขณะเดียวกัน บริษัทก็ไม่ได้ตกลงรับนักศึกษาฝึกงานเข้าทำงานโดยจ่ายค่าจ้างให้ นิติสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับนักศึกษาฝึกงานจึงไม่ใช่นิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงาน และไม่ใช่นายจ้าง-ลูกจ้างตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

นอกจากนี้ คำว่า “ค่าจ้าง” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 ยังถูกนิยามว่าเป็น “เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในวันทำงานปกติของวันทำงาน และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงาน แต่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามพระราชบัญญัตินี้”

พูดง่าย ๆ ก็คือ หากบริษัทจะไม่จ่ายค่าจ้างให้กับนักศึกษาฝึกงาน ก็ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ทำงานในฐานะ “ลูกจ้าง” กับ “นายจ้าง” ตามสัญญาการจ้างงาน แต่ถ้าบริษัทอยากจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับนักศึกษาฝึกงานตามความเหมาะสม เพราะมองว่าการมาทำงานนั้นย่อมมีค่าเดินทาง ค่าอาหาร ฯลฯ เรตของค่าตอบแทนดังกล่าวก็จะขึ้นอยู่กับ “สัญญาฝึกงาน” ว่าระบุไว้อย่างไรบ้าง และตามกฎหมายก็ไม่ได้มีหลักเกณฑ์ว่าต้องจ่ายเท่าไร ต่างจากการถือ “สัญญาจ้างงาน” ที่จะต้องอ้างอิงตามกฎหมายแรงงาน ที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามจังหวัด

Advertisement

ทั้งนี้ หากนักศึกษามาขอฝึกงานเอง ไม่ได้มาเพราะเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร หรือไม่ได้มีจดหมายจากสถาบันการศึกษาส่งมาขอฝึกงาน กรณีนี้ จะนับว่าเป็นการจ้างทำงานปกติ มีสถานะเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน และต้องทำทุกอย่างตามกฎหมายแรงงานเหมือนเป็นพนักงานปกติคนหนึ่งทุกประการ จะให้เป็นนักศึกษาฝึกงานไม่ได้

อย่างไรก็ตาม กรณีเช่นนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เคยมีหนังสือไปถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยระบุว่า การส่งนักศึกษาไปฝึกงานกับบริษัทต่าง ๆ หากมีการปฏิบัติงานเหมือนลูกจ้างทั่วไป ก็ควรปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จ่ายค่าแรงขั้นต่ำ และมีวันหยุดที่ชัดเจน โดยเป็นการ “ขอความร่วมมือ” ไม่ได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด เพราะถ้า “บังคับ” จะเป็นการ “บีบ” ผู้ประกอบการมากเกินไป เพราะถือเป็นการเพิ่มรายจ่าย ทั้งที่บริษัทต่าง ๆ หลายแห่งไม่จำเป็นต้องรับนักศึกษามาฝึกงานก็ได้

แม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้บังคับว่าบริษัทต้องจ่ายค่าแรงให้กับนักศึกษาฝึกงาน แต่บริษัทส่วนใหญ่มีค่าตอบแทนที่เรียกว่า “เบี้ยเลี้ยง” เพื่อตอบแทนให้กับนักศึกษาฝึกงานแทนค่าจ้าง ซึ่งเมื่อในสัญญาฝึกงานระบุไว้แล้วว่านักศึกษาฝึกงานจะได้เงินเป็นเบี้ยเลี้ยง (เงินที่ผู้ดำเนินการฝึกจ่ายให้แก่ผู้รับการฝึกเป็นการตอบแทนการฝึก) บริษัทก็จะต้องจ่ายเงินตามกฎหมายเบี้ยเลี้ยงปกติ ซึ่งตามที่กฎหมายระบุไว้ก็คือ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดนั้น ๆ
อาจารย์ที่ปรึกษา ต้องมี “บทบาท” ในการฝึกงาน

ประเด็นเรื่องของฝึกงาน นอกจากตัวของนักศึกษาฝึกงานและสถานประกอบการต่าง ๆ จริง ๆ แล้วยังมีบุคลากรอีกหนึ่งตำแหน่งที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการเป็นตัวกลางประสานงานระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการต่าง ๆ รวมถึงมีหน้าที่ดูแลนักศึกษาตลอดจนจบหลักสูตรการฝึกงานก็คือ “อาจารย์” ที่ต้องคอยรับฟังปัญหาการฝึกงานจากนักศึกษา ติดตามผลการฝึกงาน ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการฝึกงาน และอบรมข้อควรปฏิบัติของนักศึกษาในการไปขอฝึกงานกับสถานประกอบการต่าง ๆ ในฐานะต้นสังกัดของนักศึกษา

อาจารย์ที่ปรึกษาหรืออาจารย์ประจำรายวิชาที่มีหน่วยกิตของการฝึกงาน จำเป็นมากที่ต้องติดตามผลการฝึกงานของนักศึกษาทุกคนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ควรให้เด็กนักศึกษารายงานผลและปัญหาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรจะได้แก้ไขกันได้อย่างทันท่วงที หากรู้ว่าเด็กของตนเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือถูกเอาเปรียบในระหว่างฝึกงาน เช่น การใช้งานหนักเกินกว่ากฎหมายกำหนด ก็ต้องสอนให้รู้จักปกป้องตนเองได้ อย่างการรู้สิทธิของตนเอง อะไรที่ปฏิเสธได้เลย หรืออะไรที่อาจารย์ต้องเข้าไปช่วยเหลือ เพราะถือว่าเป็นผู้ควบคุมการฝึกงาน สามารถเข้าพูดคุยกับผู้ประกอบการได้ หากสิ่งที่นักศึกษาเจอจริง ๆ ไม่ตรงตามสัญญาการฝึกงาน หรืออาจพิจารณาไม่ส่งลูกศิษย์ไปฝึกงานในรุ่นถัดไป หรือถอนตัวจากการฝึกงาน เมื่อพบว่าสิ่งที่นักศึกษาเจอคือการถูกเอาเปรียบ

นอกจากนี้ อาจารย์ก็ควรมีบทบาทในการ “ให้คำปรึกษา” กับนักศึกษาที่จะออกไปฝึกงานด้วย ว่าการเลือกบริษัทที่จะไปฝึกงานต้องเป็นบริษัทแบบไหนถึงจะได้ผลประโยชน์มากที่สุดในสายงานที่ตนเองจะเรียนจบออกไป มีการสอนงานอย่างเป็นระบบ มีการมอบหมายงานที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อให้นักศึกษาได้ทดลองงานก่อนทำงานจริงอย่างมีประสิทธิภาพ มีสวัสดิการอะไรที่เอื้อต่อการฝึกงาน และให้ประสบการณ์การทำงานจริงได้สูงสุด บริษัทที่สามารถออกใบรับรองการฝึกงาน ทำงานสนุกและได้ประโยชน์ รวมถึงการเทรนด์กับตัวนักศึกษาถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรปฏิบัติ ในฐานะที่เราไปขอฝึกงาน อะไรที่เราควรรักษาสิทธิตัวเอง อะไรที่ไม่ควรเรียกร้องจนเกินงามเมื่อดูตามเจตนาของการไปขอฝึกงาน ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของตัวนักศึกษาเอง
ฝึกงานแบบ win-win ควรเป็นแบบไหน

เนื่องจาก “การฝึกงาน” นั้น จะยึดเทียบหลักกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เช่น ต้องมีวันหยุด ทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมง การทำงานกลางคืน เป็นสิ่งต้องห้าม ยกเว้น แต่ลักษณะงานบางงาน เช่น การเดินเรือทางทะเล อาศัยน้ำขึ้นน้ำลง หรือถ่ายละครทีวี ที่ต้องถ่ายกลางคืน แต่โดยทั่วไปต้องทำงานกลางวัน ค่าตอบแทนหรือสวัสดิการต้องให้ความสมควร เพราะทุกบริษัทต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งถือเป็นกฎหมายขั้นพื้นฐาน แม้ว่าตัวผู้รับการฝึกงาน จะไม่มี “สัญญาจ้างงาน” แต่ควรมีมาตรฐานในการปฏิบัติต่อนักศึกษาฝึกงานเหมือนเป็นแรงงานคนหนึ่งตามกฎหมาย

จริง ๆ แล้ว หากบริษัทและเด็กฝึกงานมีการเคารพซึ่งกันและกัน มีการปฏิบัติต่อกันแบบไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบใคร ปัญหานี้จะไม่เกิดเลย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ทราบดีอยู่แล้วว่าการฝึกงานอาจไม่ได้รับค่าจ้าง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากทั้งการได้ทดลองทำงานในสนามจริงก่อนที่จะเรียนจบออกมาทำงาน ได้ใบรับรองการฝึกงานที่เป็นหลักฐานในการจบหลักสูตรและสำเร็จการศึกษา และเป็นเอกสารประกอบในเรซูเม่ที่ใช้ยืนยันศักยภาพของตัวเองสำหรับการสมัครงาน แต่ลึก ๆ พวกเขาก็คาดหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม เหมาะสม ไม่ถูกเอาเปรียบ สร้างความพึงพอใจ รู้สึกมีความสุขในการทำงาน หากได้รับค่าจ้าง หรือค่าเบี้ยเลี้ยงด้วย พวกเขาก็จะมีขวัญกำลังใจในการฝึกงานกันมากขึ้น สร้างความกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น และคุณภาพของงานที่มากขึ้น

นอกเหนือจากประโยชน์ในฝั่งของนักศึกษาฝึกงาน ที่บรรลุวัตถุประสงค์ของการฝึกงานอย่างประทับใจและมีความสุข มีประสบการณ์การฝึกงานที่มีคุณค่า สำหรับเปิดทางไปสู่การทำงานในอนาคตและทำให้การฝึกงานนี้ไม่เสียเปล่า บริษัทเองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตัวงานที่เคยมอบหมายให้นักศึกษาฝึกงานทำ แต่ในอนาคต บริษัทจะมีโอกาสในการร่วมงานกับนักศึกษาที่มีศักยภาพในการทำงาน มีความเหมาะสมกับองค์กร และมีโอกาสทำงานกับบริษัทต่อมากกว่า กรณีที่นักศึกษาฝึกงานกลับมาร่วมงานกับบริษัทที่ฝึกงาน หมายความว่าบริษัทจะไม่ต้องเสียต้นทุนในการค้นหาพนักงานระดับปฏิบัติการเลย คุณจะได้คนที่ทำงานเป็น คนทำงานคุณภาพ และทำงานเข้ากับองค์กรเป็นอย่างดี เพราะเหล่านักศึกษาฝึกงานรุ่นพี่นำไปบอกต่อกับรุ่นน้อง เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทได้ในระยะยาว

ดังนั้น ปัญหาทั้งหมดจะไม่เกิด หากทั้ง 2 ฝ่ายตั้งใจทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด นักศึกษาฝึกงานที่ทุ่มเทเพื่อทำงานให้กับบริษัทได้อย่างเต็มที่ เพื่อหวังกอบโกยประสบการณ์การทำงานก่อนที่ตนเองจะออกสู่สังคมการทำงานจริง ๆ ใช้โอกาสนี้ต่อยอดโอกาสที่จะนำความรู้ของตนเองมาใช้ในการทำงานจริง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในชั้นเรียน หรือความรู้ที่ได้ขวนขวายเอง และสร้างโอกาสที่ดีที่จะนำไปใช้สมัครงานในอนาคต ส่วนเรื่องค่าจ่างหรือสวัสดิการ มันตอบสนองความประทับใจที่ดีให้กับตัวนักศึกษาเองมากกว่า ทำให้พวกเขารู้สึกดีที่มีโอกาสได้มาฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้ มันคือประสบการณ์ที่ดีที่ไม่มีวันลืม แลพภาพลักษณ์องค์กรในสายตาพวกเขาคือ เป็นองค์ที่ดีที่น่าร่วมงาน

ในส่วนของบริษัท ก็ควรตระหนักถึงความเหมาะสมในการมอบหมายงานแก่นักศึกษาฝึกงานเช่นกัน คำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรอย่างนักศึกษาเป็นหลัก รู้จักที่จะให้และรับอย่างเหมาะสม ไม่สร้างประสบการณ์แย่ ๆ ให้กับเด็ก ไม่หาช่องทางในการเอารัดเอาเปรียบหรือลดต้นทุนจากการรับนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งเป็นช่องว่างทางกฎหมาย แต่ควรจะเน้นสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีมากกว่า เพราะที่สุดแล้วแม้ว่านักศึกษาจะมาฝึกงานในช่วงสั้น ๆ แต่ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของบริษัท และคุณภาพของงานที่ได้จากการฝึกงานนั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งผลของการมีธรรมาภิบาล นอกจากจะสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีแล้ว คือคุณอาจได้ร่วมงานกับอดีตนักศึกษาฝึกงานคุณภาพ ที่จะกลับมาร่วมงานกับคุณ และสร้างประโยชน์ต่อองค์กรของคุณในภายภาคหน้าด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
kookkak

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน
เว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่
นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้