วันแม่...ความสุขแบบแม่น้องเดียว
แม่ผู้ให้กำเนิด เป็นต้นแบบแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ท่านเป็นครูคนแรกที่สอนเราถึงวิธีการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ผู้สอนเราให้รู้จักแยกแยะระหว่าง "ความดี" กับ "ความชั่ว" "ความเหมาะสม" กับ "ไม่เหมาะสม" "ประโยชน์" กับ "โทษ" ของสิ่งต่าง ๆ เป็นผู้แต่งแต้มสีสันชีวิตอนาคตของเรา ท่านพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อมอบให้กับลูก เหมือนกับที่คุณแม่ศิริพร สิทธิฤทัย มารดาของ ด.ช.พัทธดนย์ เกลี้ยงจันทร์ หรือ "น้องเดียว" เด็กชายผู้พิชิตรางวัลแจ็คพอตรายการ "เกมทศกัณฐ์เด็ก" ได้ดูแลลูกด้วยความรักอันบริสุทธิ์มาโดยตลอด
ความสุขของคุณแม่ คุณแม่น้องเดียวเล่าอย่างมีความสุขว่า ความสุขของผู้เป็นแม่เป็นความสุขที่ยากหาสิ่งใดมาเสมอเหมือน ในตอนตั้งครรภ์อาจอุ้ยอ้าย ลุกเดินลำบาก แต่จิตใจก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มเพราะสุขใจเมื่อรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนอยู่ในท้อง ยิ่งคุณหมอพูดกับคุณแม่ว่า “คนท้องก็คือคนปกติ เพียงแต่มีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามา ถ้าคุณแม่แข็งแรง ลูกก็แข็งแรง ถ้าคุณแม่อ่อนแอ ลูกก็อ่อนแอตามไปด้วย” ทำให้จากคนที่หวั่นใจกับบทบาทการเป็นแม่ครั้งแรก กลายเป็นหญิงที่มุ่งมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงพร้อมเพื่อรับการเกิดมาของลูก ซึ่งคุณแม่น้องเดียวดูแลตัวเองทั้งในเรื่องการการกินทานจะอดใจไม่ทานส้มตำของชอบเพราะไม่แน่ใจว่าจะสะอาด เลี่ยงกาแฟ เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำส้มทุกวันเพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน และเน้นเมนูปลาเป็นอาหารหลักเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้คุณแม่ยังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกทุกเล่ม จนในที่สุดน้องเดียวก็ลืมตาดูโลกด้วยวิธีการผ่าออกมาด้วยสุขภาพสมบูรณ์
ลูกน้อยอยู่ในวัยเรียน การกอดและสัมผัสลูก คือ สิ่งที่คุณแม่ทำเป็นประจำ และท่านจะดูแลลูกตามวัย ตามพัฒนาการของเด็ก ทั้งจากความคิดความอ่าน โดยใช้ความรู้สึกของลูกเป็นที่ตั้ง คุณแม่ยอมรับว่าเด็กอ่อนจะเลี้ยงยากในแบบหนึ่ง แต่พอโตมาแล้วเด็กก็จะมีมีปัญหาอีกอย่างที่เราต้องทำความเข้าใจ สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งคือ ร่างกายที่แข็งแรง คุณแม่จะให้ลูกออกกำลังกาย 3-4 วัน/สัปดาห์ ทั้งเทนนิส ว่ายน้ำ รวมทั้งกิจกรรมเสริมทักษะอื่นๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอใจและเห็นด้วยของลูกไม่ว่าจะเป็น อิเล็คโทนหรือกีต้าร์ ซึ่งการจะให้เด็กสนใจต้องเปิดใจเขาให้ยอมรับ คุณแม่ใช้วิธีอ่านหนังสือเพื่อให้ได้เห็นคุณค่าของหนังสือ และรับทราบว่ากีฬานอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ผู้เล่นยังแลดูเก่ง เท่ เป็น ฮีโร่ขวัญใจคนมากมายได้อีกด้วย หรือดนตรี นอกจากช่วยกล่อมเกลาจิตใจ นักดนตรียังเป็นบุคคลที่มี เสน่ห์ หน้าเข้าใกล้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณแม่ก็มีเป้าหมายว่าการเรียนดนตรีหรือกีฬาของลูกจะให้ลูกได้มีโอกาสเลือก และเป็นการจะเปิดโลก ไม่เน้นให้ลูกต้องเก่ง ขอให้สนุกสนานเพิ่มทักษะชีวิตเป็นพอ เหมือนกับการเรียนว่ายน้ำที่คุณแม่เพียงอยากสร้างความคุ้นเคย ให้ลูกไม่กลัวน้ำ มองการว่ายน้ำเป็นเรื่องปกติ ไม่กดดันลูก เพราะเข้าใจว่าเด็กทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณการต่อต้านในตัวเอง สิ่งใดที่เขาไม่ต้องการ ต่อให้บังคับแค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเขาไม่เอาเราป้อนไปมากเท่าไร ก็รังแต่จะกลายเป็นการทำร้ายคนที่เรารัก ให้มองว่าการดูแลลูกเหมือนการป้อนข้าวป้อนน้ำบางครั้งลูกเบื่ออยากพัก ไม่อยากเรียนกีต้าร์ ไม่อยากเรียนว่ายน้ำ เราก็หยุดพักว่างเว้นไปก่อน พอสักพักก็ค่อยให้ลูกมาทำใหม่ แต่ไม่ใช่หายไปเลย เหมือนกับบางครั้งลูกไม่อยากไปโรงเรียน โยเย งอแง เราก็ให้ลูกอิสระเต็มที่แล้วก็มาบอกลูกทีหลังว่า การไปโรงเรียนมันเป็นหน้าที่ ได้ประโยชน์อย่างไร ควรไม่ควรอย่างไร ลูกก็เข้าใจ
Trick คุณแม่ (ใส่กรอบ) พ่อแม่ควรรู้จักสื่อสารกับลูกอย่างสม่ำเสมอ และเรียนรู้ไปพร้อมไปลูก และเราต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถบังคับเขาได้หมดทุกเรื่องแต่ควรใช้วิธี “การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเขา” ทั้งเรื่องการบ้าน เรื่องเพื่อน เรื่องการแลกเปลี่ยนความรู้ พร้อมกับบอกตัวเองว่าควรเลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดกับลูกให้มากที่สุด ซึ่งแม่ทุกคนทำได้อยู่แล้ว ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่รักลูกนั่นเอง