ม.รังสิต ตอบโจทย์ IT Service
ผลิตบัณฑิตคุณภาพครบวงจร
นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนมากที่สุดในขณะนี้ สำหรับมหาวิทยาลัยรังสิต ล่าสุดได้เปิดตัวหลักสูตรใหม่อีก 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (ป.โท) หลักสูตรการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการศึกษาทางไกลอินเทอร์เน็ต (ป.โท) และหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศวิทยาการบริการ (ป.ตรี)
?การศึกษาวันนี้? สัปดาห์นี้ ขอหยิบยกมาสักหนึ่งหลักสูตรที่น่าสนใจเพื่อมานำเสนอต่อคุณผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะกลุ่มน้อง ๆ วัยทีนที่กำลังจะเปลี่ยนสถานะจากนักเรียนมาเป็นนักศึกษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ หลักสูตรที่เราจะนำเสนอในสัปดาห์นี้เป็นหลักสูตรปริญญาตรี ที่ชื่อว่า ?เทคโนโลยีสารสนเทศวิทยาการบริการ? คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มหาวิทยาลัยรังสิตเปิดขึ้นมาเพื่อรองรับตลาด IT ในยุคปัจจุบัน ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Service Science อย่างมาก
อย่าเพิ่งทำหน้างงกันไปว่ามันคืออะไร ?การศึกษาวันนี้? มีคำตอบให้ค่ะ โดยเราได้รับเกียรติจาก อาจารย์ยุทธนา มาลยเวช หัวหน้าหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศวิทยาการบริการ จะมาเป็นผู้ให้ความกระจ่างทั้งหมดกับเรา อาจารย์ยุทธนา เล่าถึงภาพรวมของหลักสูตรให้ฟังว่า หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศวิทยาการบริการ เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นมาจากการประยุกต์รวมกันของ 2 หลักสูตร คือ หลักสูตร Information Technology และ Service Science เมื่อก่อนคนทั่วไปจะมองว่าทั้ง 2 หลักสูตรเป็นอะไรที่แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แต่ที่จริงแล้วเรื่องของ IT มักจะมีเรื่องของการให้บริการสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ
ตัวอย่างเช่น ธนาคารกสิกรไทย ต้องการระบบไอทีที่ทันสมัยเข้าไปติดตั้งในองค์กรของตน ไม่ว่าจะเป็น ระบบเอทีเอ็ม ระบบฝาก-ถอนเงินสด ฯลฯ ทุก ๆอย่างล้วนเป็นเรื่องของไอทีทั้งสิ้น อยู่ ๆ จะบอกว่าไปซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากต่างประเทศแล้วนำมาลงเฉย ๆ ก็จบเรื่อง ในความเป็นจริงแล้วไม่ง่ายอย่างนั้น การที่เราไปซื้อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มาจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้งานในองค์กรของเรา จะต้องให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทนั้น เข้ามาวางระบบใช้งานให้ด้วย รวมทั้งการฝึกอบรมพนักงานถึงวิธีการใช้งานอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการให้บริการที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมาก
แต่ถ้าเรามีบุคลากรที่จบมาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศวิทยาการบริการโดยเฉพาะ ปัญหาทุก ๆ อย่างจะหมดไป เนื่องจากคนกลุ่มนี้จะมีความรอบรู้ในเรื่องของ IT เป็นอย่างดี นอกจากนี้เขายังสามารถให้บริการครอบคลุมในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาก่อนติดตั้งระบบ IT กับลูกค้า สามารถทำความเข้าใจเบื้องต้นได้ว่าลูกค้าความต้องการอะไร อยากให้การใช้งานออกมาในลักษณะไหน ถ้าลูกค้ามีความต้องการอย่างนี้ จะต้องแนะนำลูกค้าได้ว่าต้องใช้ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์อะไรบ้าง ใช้ระยะเวลาในการเขียนซอฟต์แวร์เท่าไร และใช้งบประมาณในการวางระบบทั้งหมดเท่าไร ต้องคำนวณรายละเอียดทั้งหมดออกมาให้ลูกค้าดูได้ บางทีอาจเกิดการต่อรองในเรื่องของงบประมาณในการติดตั้ง เจ้าหน้าที่ก็จะต้องทำการเจรจาต่อรองกับลูกค้าได้ หรือถ้าลูกค้าอยากให้แก้ไขแบบให้ เราก็ต้องสามารถบริการให้ได้ทั้งหมด นี่คือ ?IT Service? หรือ ?Service Science? ที่ซ่อนอยู่นั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทางหลักสูตรเล็งเห็นว่าสำคัญมาก และควรจะมีในอนาคต จึงได้สร้างหลักสูตรใหม่นี้ขึ้นมา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด IT ในปัจจุบัน
การแข่งขันทางด้านธุรกิจซอฟต์แวร์ทุกวันนี้ ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาก การที่เราจะได้เปรียบหรือสร้างความแตกต่างจากบริษัทคู่แข่งขันนั้น คงจะต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของการให้บริการให้มากขึ้น เพราะการให้บริการถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าของเรานั่นเอง เมื่อก่อน IBM ทำรายได้จากการขายฮาร์ดแวร์มาเป็นอันดับ 1 ส่วนซอฟต์แวร์ทำรายได้รองลงมาเป็นอันดับ 2 ในขณะที่การให้บริการนั้นทำรายได้น้อยที่สุด แต่มาในปัจจุบันนี้ 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดมาจากการให้บริการเป็นหลัก ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นรายได้ที่มาจากการขายฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์นั่นเอง
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยเราทำรายได้อันดับ 1 มาจากการให้บริการ ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว รายได้ GDP ของประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ จะมาจากการให้บริการแทบทั้งสิ้น ซึ่งหมายรวมถึงการให้บริการทั้งหมดนั่นเอง และหนึ่งในนั้นก็คือ การให้บริการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่กำลังมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับคนที่จะเข้ามาเรียนในหลักสูตรนี้ ทางหลักสูตรไม่ได้กำหนดไว้ตายตัว ถ้าจะให้ดีควรจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในแผนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ จะเหมาะสมที่สุด เนื่องจากเวลาที่เรียนจะได้ไม่เหนื่อยมากนัก แต่ถ้าจบแผนศิลป์มาก็สามารถเข้ามาเรียนได้เช่นกัน ถ้ามีความพยายามและอดทน เพราะอาจจะต้องเหนื่อยกว่าคนที่จบมาทางแผนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์อยู่สักหน่อย แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ทางหลักสูตรจะปรับโครงสร้างภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาทุกคน เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพและพร้อมทำงานได้ทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาออกไป ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวนักศึกษาของสถาบันทางหนึ่งด้วย
เมื่อถามถึงคุณภาพของบัณฑิตที่จะสำเร็จการศึกษาออกไป ทางมหาวิทยาลัยรังสิตมั่นใจว่าจะต้องมีคุณภาพอย่างแน่นอน เนื่องจากทาง IBM และ NECTEC ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าบัณฑิตของเราเมื่อสำเร็จการศึกษาออกไปต้องมีงานทำอย่างแน่นอน เพราะทางสถาบันผลิตบัณฑิตออกสู่ตลาดแรงงานภายใต้ข้อเท็จจริงของประเทศไทย ที่ว่าต่อไปในอนาคตตลาด IT จะเติบโตไปในทิศทางที่เน้นการให้บริการเป็นสำคัญ ซึ่งคนที่จบมาในหลักสูตรนี้มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานเร็วกว่าคนที่จบเทคโนโลยีสารสนเทศเฉย ๆ เพราะเขาสามารถทำหน้าที่เป็น Project Manager ของบริษัทได้ ทำงานได้ครบวงจรทั้งการวางระบบและการให้บริการ เงินเดือนเริ่มต้นของคนกลุ่มนี้จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาท ในขณะที่คนจบมาด้าน IT เฉย ๆ เงินเดือนเริ่มต้นจะอยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท เรียกว่าเป็นมูลค่าเพิ่มของตัวนักศึกษานั่นเอง
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ โทร.0-2997-2200-30 ต่อ 1601, 1604 หรือที่ http://it.rsu.ac.th
