ดีเจภูมิ ชีวิตนักเรียน 14 ปีในต่างแดน เกียรตินิยม University of Leeds
ดีเจภูมิ หรือ ภูมิใจ ตั้งสง่า หนุ่มอารมณ์ดี ดีกรีนักเรียนอังกฤษขนานแท้ ชื่อของดีเจภูมิแจ้งเกิดจากการเป็นพิธีกรและเป็นวีเจ ล่าสุดเจ้าตัวนั่งจ้อเป็นคนหลังไมค์ประจำคลื่น 95.5 Virgin Hitz คู่กับเพื่อนซี้ดีเจเพชรจ้า ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 4 ทุ่ม-เที่ยงคืน อยากฟังความกวนของทั้งคู่ต้องไม่พลาด
วันนี้ดูเหมือนชื่อของเขาติดอันดับเป็นดีเจฝีปากกล้าไปแล้ว เพราะนอกจากจะพูดจากวนโดนใจ วัยรุ่นชมรมคนรักภูมิยังชอบมาขอคำปรึกษาเรื่องความรัก เรื่องครอบครัวกันอยู่บ่อย ๆ เรียกว่าเป็นที่ไว้วางใจของน้อง ๆ จะว่าไปแล้วหนุ่มคนนี้เขายังมีโปรไฟล์ด้านการศึกษาดีเด่นให้หลาย ๆ คนได้เดินตามกันอีกด้วย เปิดบันทึกหน้าการศึกษาของดีเจภูมิ เจ้าตัวเล่าว่าครอบครัวเขาให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก โดยมีคุณแม่เป็นคนวางแผนการเรียนอย่างรอบคอบ และคุณพ่อให้คำปรึกษา เด็กชายภูมิใจลัดฟ้าไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เริ่มแรกที่ประเทศออสเตรีย ระยะเวลา 3 ปีทำให้เขาเรียนรู้และพูดภาษาเยอรมันได้อย่างคล่องแคล่ว ?ที่บ้านให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการเรียนเป็นอย่างมากครับ คือคุณแม่ของผมท่านเรียนจบเกี่ยวกับจิตวิทยาเด็กจากอเมริกา เพื่อมาเลี้ยงลูกตัวเองโดยเฉพาะ (หัวเราะ) ประกอบกับคุณปู่ คุณตา คุณยาย บรรพบุรุษของผมท่านออกไปเรียนต่างประเทศหมด เพราะต่างประเทศเขาเรียนฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ผมจึงค่อนข้างโชคดีที่ทางบ้านให้ความสำคัญเรื่องเรียนมาก ๆ? ?พออายุประมาณ 7 ขวบ คุณพ่อถูกมอบหมายให้ไปประจำอยู่ที่ประเทศออสเตรีย เป็นผู้ช่วยท่านทูตฯ คุณแม่มองเห็นเป็นโอกาสที่ดีที่ลูก ๆ จะได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น จึงตัดสินใจย้ายกันไปทั้งครอบครัวครับ ก่อนที่จะเดินทางไปที่นั้นคุณแม่เตรียมพร้อมด้วยการให้คุณครูมาสอนภาษาเยอรมันก่อน 1 ปี และขออนุญาตทางโรงเรียนเก่าให้ผมได้ไว้ผมยาวขึ้นมานิดหนึ่ง ดีกว่าให้ลูกหัวเกรียน ๆ ไปแบบนั้น (หัวเราะ)? ?ด้วยความที่เรายังเป็นเด็กทำให้เราปรับตัวได้เร็วมาก ทั้งในเรื่องของภาษา ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว ผมจำได้ว่าผมมีครูดีคือคนขับรถของคุณพ่อ ตอนนั้นสนิทกับเขามาก เหมือนพี่สอนน้อง ซึ่งพี่คนออสเตรียคนนี้เขาจะสอนภาษาเยอรมันให้ตลอดเลย สอนศัพท์แสลงต่าง ๆ เพื่อที่เราจะได้ไปใช้ชีวิตได้เหมือนเด็กที่โน้นได้อย่างมั่นใจ?
ต่อจากนั้นครอบครัวตั้งสง่าต้องย้ายจากประเทศออสเตรียไปอยู่ที่อังกฤษ เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเรียนของเขาอีกหน
?หลังจากนั้น 3 ปี คุณพ่อถูกย้ายไปประจำอยู่ที่ประเทศอังกฤษครับ จากประเทศออสเตรียทำให้ผมได้ภาษาต่างชาติเป็นภาษาแรกคือเยอรมัน พูดได้ อ่านได้ เขียนได้ ตอนนี้ยังไม่ลืมครับ ยังฟังเข้าใจเหมือนเดิม ผมย้ายมาอยู่อังกฤษ คุณแม่วางแผนอีกครั้งด้วยการหาบ้านที่ใกล้กับโรงเรียนมากที่สุด และโรงเรียนต้องเป็นโรงเรียนรัฐบาล (State School) สังคมที่อังกฤษถ้าไม่ได้เข้าโรงเรียนรัฐบาลดี ๆ อนาคตไม่ค่อยจะรุ่งเท่าไหร่ (ยิ้ม)? ?พออายุ 12 ปี ผมต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้ง ประกอบกับคุณพ่อยังมีเวลาประจำอยู่ที่อังกฤษแค่ 3-4 ปีเท่านั้น คุณแม่จึงวางแผนให้ลูกไปเรียนในเมืองใหญ่ และเลือกโรงเรียนที่ครึ่งหนึ่งเป็นระบบประจำ ครึ่งหนึ่งเป็นระบบไป-กลับ โรงเรียนที่อังกฤษจะแบ่งเกรด คุณแม่หาที่อยู่ใกล้บ้านด้วยและเป็นโรงเรียนเกรด A ครับ ปีแรกที่ผมไปเรียนนั้นเป็นนักเรียนแบบไป-กลับ พอปีที่ 2 ค่อยเข้าเป็นนักเรียนประจำ ตรงนี้คุณแม่บอกว่าเพื่อผมจะได้ค่อย ๆ ปรับตัว พอถึงวันเสาร์-อาทิตย์ค่อยกลับบ้าน ซึ่งคุณแม่ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งให้พี่น้อง ญาติ ๆ อยู่รวมกันหมดเลยครับ เด็ก ๆ จะได้มีสังคมของตัวเองเวลาอยู่กันพร้อมหน้าทุกวันหยุด เรียกว่าคุณแม่วางแผนไว้ค่อนข้างจะดีมาก? ?โรงเรียนผมอยู่ปริมณฑลของลอนดอน บรรยากาศแวดล้อมอยู่กับธรรมชาติ เห็นแต่ป่าไม้ กิจกรรมส่วนใหญ่จะเล่นกีฬาตลอด เป็นโรงเรียนชายล้วนครับ ระบบการเรียนที่อังกฤษ เริ่มต้นเรียนจะเรียนประมาณ 14 วิชา จากนั้นค่อย ๆ เรียนทุกอย่างจนเรารู้หมดว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไร เป็นการบีบให้แคบลงและเจาะลึกให้มากขึ้น จาก 14 วิชาจะค่อย ๆ เหลือน้อยลง ๆ จนถึง End Level มีเพียงแค่ 3 วิชาเท่านั้นและยากที่สุด เขาจะให้เราเลือกเรียนว่าอยากจะเรียนสายไหน ผมว่าเป็นระบบการเรียนที่ดีนะครับ?
ค้นพบตัวเองว่าชอบทางด้าน Art ?ตอนนั้นผมเลือกเรียนฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เกรดฟิสิกส์ผมได้เกรด A แต่หลังจากนั้นผมอยากเรียนทางด้าน Art เพราะเป็นสิ่งที่ผมรักมาตั้งแต่เด็กแล้วแต่ผมไม่ได้เลือก คงเหมือนเด็กทั่วไปที่ยังไม่เข้าใจตัวเอง และกลัวว่าเมื่อเรียนมาแล้วเราไม่รู้จะไปทำอะไรกับมัน สุดท้ายผมไปเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ ในที่สุดผมเริ่มทนไม่ไหว ขอเปลี่ยนสาย ซึ่งทางโรงเรียนไม่ยอมให้เปลี่ยน เพราะทางโรงเรียนบอกว่าไม่มีใครสามารถที่จะเรียน End Level ภายในหนึ่งปีได้ เดือดร้อนถึงคุณแม่ต้องมาจัดการให้ครับ ทางโรงเรียนถึงยอม หลังจากนั้นผมสามารถสอบผ่านและได้เกรด A ด้วย เพื่อน ๆ ในห้องยังงงเลยว่าผมทำได้ยังไง? ความฝันวัยเด็ก "สมัยที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเดิมก่อนย้ายมาโรงเรียนประจำ เพื่อนผมอยากเป็นช่างก่อสร้าง อยากเป็นนักฟุตบอล ถามว่าดีไหม ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมากนะครับ เพราะตอนหลังระบบการศึกษาของอังกฤษผลักดันให้ทุกคนมีปริญญา อยากให้คนมีการศึกษา จนตลาดของคนที่มีการศึกษานั้นล้นตรงนี้ทำให้เงินเดือนน้อย แต่คนที่ไปในสายวิชาชีพรวย ๆ กันทั้งนั้น (หัวเราะ) ผมมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเก่าที่อังกฤษ เพื่อน ๆ ผมสมัยเรียนเขาขับรถเฟอร์รารี่กันหมดเลย จบม.6 กันทุกคนครับ คือแรงงานของเขาแพงกว่าเมืองไทยเยอะมากนั่นเอง?
พอเรียนจบในระดับ High School หนุ่มคนนี้พยายามค้นหาตัวเองอีกครั้งว่าจะเรียนอะไรดี และสุดท้ายเขาเลือกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม แม้จะไม่ได้ชอบทางด้านนี้แต่เขาสามารถเรียนจบดีกรีเกียรตินิยม
?เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เลือกเรียนทางด้าน Art ครับ แต่ที่เลือกเรียนในระดับ High School เพราะว่าต้องการทำเกรดให้ดีเพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตอนแรกผมมองไว้ที่ Durham University ซึ่งติดท็อปเทนของอังกฤษ ค่อนข้างดีแต่อยู่ในสกอตแลนด์ แต่คุณพ่อแนะนำว่าเราน่าจะไปใช้ชีวิตในเมืองดูบ้าง ซึ่ง Leeds เป็นเมืองที่มีสีสัน มีผับ บาร์ แหล่งช็อปปิ้ง ผมจึงตัดสินใจเลือก University of Leeds แต่มาพลาดตรงที่ผมเลือกเรียนตามกระแส ผมเลือกเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เพราะตอนนั้นอังกฤษกำลังเป็นที่นิยม อาจารย์บอกว่าถ้าเรากลับมาเมืองไทยตกงานแน่นอน เพราะกระแสนี้ค่อนข้างนำประเทศไทยอยู่เยอะ ผมเรียนด้วยความที่ไม่ได้ชอบมาก แต่สุดท้ายผมก็เรียนจนจบด้วยเกียรตินิยมครับ ถือเป็นความภูมิใจส่วนตัวด้วย? ?หลังจากนั้นพอจบกลับมาเมืองไทยผมมีโอกาสได้ไปฝึกงานที่บริษัทวอลโว่ ซึ่งเขาให้ความสนใจทางด้านนี้เหมือนกัน และตอนนั้น ISO 10004 เพิ่งจะเข้ามาในเมืองไทย และมีน้อยองค์กรที่ให้ความสนใจทางด้านนี้ แม้แต่ตัวเรายังไม่สนใจเลย (หัวเราะ) วันนี้ผมจบกลับมาเกือบ 10 ปีแล้ว ประเทศไทยเริ่มอินเทรนด์ในด้านสิ่งแวดล้อม?
ในฐานะที่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในต่างแดน ดีเจภูมิบอกว่าประสบการณ์เป็นสิ่งล้ำค่า มีโอกาสแล้วต้องเก็บเกี่ยวนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด
?การศึกษาเป็นความสำคัญที่สุดแล้วสำหรับเด็กคนหนึ่ง สโลแกนของโรงเรียนเก่าที่ผมยังยึดถือทุกวันคือ การศึกษาคือทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันใช้หมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม สิ่งที่ผมได้จากการไปเรียนต่อต่างประเทศคือเรื่องของประสบการณ์ และสองคือเรื่องของ Connection ถ้าเราอยากให้ลูกเราอยู่ในแวดวงของคนที่ประสบความสำเร็จ เราต้องส่งเขาไปอยู่ในแวดวงนั้น ๆ? ?14 ปีกว่าที่ผมอยู่ในต่างประเทศ ผมอยากจะแนะนำว่าพยายามหาเพื่อนชาวต่างชาติไว้เยอะ ๆ เพราะบางคนอยู่นานแล้วแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยมีให้เห็นเยอะ การมาเรียนของเราไม่ได้อยู่นาน บางคน 1 ปี บางคน 2 ปี บางคน 4 ปี เราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด ประสบการณ์ไม่สามารถหาซื้อได้ ไม่จำเป็นต้องรีบเรียนให้จบถ้าคุณยังไม่รู้ว่าเราชอบสิ่งนั้นจริง ๆ คนเรียนจบเร็วกว่า ใช่ว่าจะเป็นคนที่เก่งกว่าหรือประสบความสำเร็จก่อน สู้ค้นหาตัวตนก่อนดีกว่า สุดท้ายเราได้ทำในสิ่งที่ชอบ คุ้มค่ากว่ากันเยอะ คนอังกฤษเรียนจบแล้วเขาออกเดินทางหาประสบการณ์ ซึ่งผมมองว่าตรงนี้คือประสบการณ์ที่ให้อะไรเรามากกว่าเรานั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ เมื่อไหร่ก็ตามถ้าคุณหลุดออกจากโลกเดิม ๆ ของคุณได้ คุณจะเรียนรู้อะไรได้กว้างมากขึ้น ?อีกหนึ่งสิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ ค้นหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ตอนนี้อาจจะมีน้อง ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไรเลย ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมามีพรสวรรค์หมดครับ เราต้องค้นหาตัวเองให้เจอ และถ้าเจอแล้วเราต้องรีบพัฒนามัน อย่ากลัวที่จะทำในสิ่งที่เรารัก ถึงแม้ว่าสังคมหรือกระแสตอนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญ อย่าท้อ คนที่กำหนดตัวเองได้สุดท้ายคือตัวเราเอง?
เห็นมาดกวน ๆ แบบนี้ แต่การเรียนเป็นเลิศจริง ๆ
ที่มา " เรียนรอบโลก "
ผู้เขียน : oakky วิไลรัตน์ ต่ายประยูร ช่างภาพ : สุรพงษ์
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ