เปิดบันทึกต่างแดนของ เจย์ อดีตเด็กเฮี้ยว ดื้อ ซ่าส์
หนุ่มรูปหล่อคนนี้นอกจากจะหน้าตาดีได้ใจสาว ๆ แล้ว ยังมีคารมดีแถมสามารถสะกดให้คนฟังเขาได้นานเป็นชั่วโมงอีกด้วย เจย์-ศุภกาญจน์ ปลอดภัย ลูกชายสุดรักของแม่เจี๊ยบ-กาญจนาพร ปลอดภัย ผู้จัดละครช่อง 7...ด้วยลีลาการพูดสามารถเรียกคนฟังได้นั้น เพราะบทบาทล่าสุดของเขาคือการเป็นดีเจคลื่นอารมณ์ดี 98.5 Good FM นั่นเอง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลา 13.00-16.00 น. เราจะได้ยินเสียงเขานั่งจ้อออกอากาศคู่กับหนุ่มแก๊ป
ก่อนที่เจย์จะเข้าสู่วงการบันเทิงมานั่งแท่นเป็นคนหน้าไมค์และเป็นวีเจอยู่ MTV เจย์ใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลากว่า 6 ปี วันนี้เจย์มาถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ในฐานะนักเรียนไฮสคูล ประสบการณ์ตรงที่เขาได้เจอมีอะไรบ้าง ที่สำคัญเจย์บอกว่าก่อนเหินฟ้าไปอเมริกานั้นเขาเคยไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดียมา 1 ปี อินเดีย ประเทศที่หลายคนมักจะมองข้ามในการไปเรียนต่อ แล้วทำไมตอนนั้นเด็กอายุ 15 ปีคนนี้ถึงเดินสวนกระแสเลือกไปเรียนยังแดนภาระตะ ลองมาดูเหตุผลของเขากัน ผมไปเรียนที่อินเดียตอนอายุ 15 ตอนนั้นไปเรียนคล้าย ๆ มาเรียนภาษาอังกฤษ เรียนอยู่ประมาณ 1 ปี เป็นโรงเรียนนานาชาติชื่อว่า Himalayan International School ที่ผมตัดสินใจไปคือ ที่บ้านไม่มีใครมีประสบการณ์เรื่องการไปเรียนต่อต่างประเทศเลย วันหนึ่งคุณแม่เดินมาถามว่าจะไปเรียนต่อที่อินเดียไหม เพราะเห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่สูงมากถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ คุณแม่แค่ถามว่าอยากไปหรือเปล่า ประกอบกับตอนนั้นผมค่อนข้างจะเกเรเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่ตั้งใจเรียนเลย ผมจึงตัดสินใจเองว่าไปก็ไป เพราะถ้าอยู่ที่เมืองไทยเริ่มมองไม่เห็นอนาคตตัวเองแล้ว เจย์ยอมรับว่าค่อนข้างเป็นเด็กซ่าส์และไม่ตั้งใจเรียน เมื่อเด็กเฮี้ยวเลือกหันหลังให้กับบรรยากาศการเรียนเดิม ๆ และโกอินเตอร์ไปสร้างสีสันใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง แล้วเด็กคนนี้จะเฮี้ยวได้เหมือนเดิมหรือไม่ ไปแล้วสนุกดีครับ โรงเรียนที่อยู่เป็นโรงเรียนประจำ อยู่กับเพื่อนต่างชาติ มีกิจกรรมให้เล่นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นกีฬา แต่ส่วนใหญ่ผมจะเล่นกีฬากับตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพราะตอนนั้นอยากพูดได้แล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรเพราะโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ติดกับภูเขาชื่อว่าชิล่า บรรยากาศดีมาก ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่เยอะ และได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ด้วย เพราะอยู่เมืองไทยผมเพื่อนเยอะ แต่อยู่ที่โน่นผมอยู่คนเดียวเป็นเด็กไทยคนเดียวด้วย เรื่องปรับตัว ปรับเยอะเหมือนกันนะ จากที่เคยเป็นหัวโจกนำชาวบ้านเขา แต่ไปอยู่ที่นั่นไม่ใช่เลยครับ เมืองไทยยิ่งทำตัวไม่ค่อยดี ยิ่งเกเรคนนั้นยิ่งดัง หลายคนให้ความสนใจ แต่อยู่ที่โรงเรียนประจำ ถ้าเราทำตัวแบบนั้นไม่มีใครเขาชื่นชมคุณหรอก ถ้าเขาจะชื่นชมคือคุณต้องเล่นกีฬาถึงจะเท่ เป็นเรื่องดีมากที่ผมได้ไปเจอสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ตอนอยู่เมืองไทยแต่งตัวผิดระเบียบ โอ้โหมันดูเท่จัง ตอนไปเรียนใหม่ ๆ ยังหยิบกางเกงตัวใหญ่ ๆ มาใส่เลย แต่พอใส่แล้วคนอื่นเขาดูเราว่าตลก จากนั้นผมก็เก็บเข้ากระเป๋าเหมือนเดิมและแต่งกายตามระเบียบโรงเรียน
เรียกว่าเปลี่ยนจากเจย์คนเดิมเป็นเจย์คนใหม่ เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันครับ อยู่เมืองไทยเกเรมาก (ยิ้ม) แต่ไปเรียนที่อินเดียเราไม่รู้จะไปเกเรที่ไหน ไม่มีสิ่งยั่วยุล่อแหลมอะไร กิจกรรมของผมคือไปดูหนัง ไปเล่นกีฬา และไปเล่นสนุกเกอร์ คืออินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ การเล่นสนุกเกอร์เป็นเรื่องปรกติมากครับ ไม่ใช่การเล่นแบบพนันอะไรเหมือนเมืองไทย ใครที่คิดจะไปเรียนต่อยังอินเดีย เจย์มีคำแนะนำมาให้ด้วยว่า ต้องไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะประเทศอินเดียค่อนข้างเป็นเมืองที่แออัดและคนเยอะ เรื่องอาหารการกินนั้นแปลกแตกต่างจากหลายประเทศ เตรียมตัวให้ดี เตรียมใจให้พร้อมเท่านั้นครับ นอกจากนั้นถ้าใจพร้อมคนเราเหมือนจิ้งจกที่สามารถปรับตัวได้อยู่แล้ว เขมนั้น ๆ อินเดียผมว่าเป็นประเทศที่น่าไปเรียนเหมือนกัน ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณยึดติดอะไรหรือเปล่า จากแดนโรตีเหินฟ้าสู่ประเทศอเมริกา หนุ่มได้ไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียนไฮสคูลเต็มตัวใน Thomas More Prep-Marian High School ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า Hays, Kansas ชีวิตของเด็กนักเรียนยังสนุกสนานเหมือนเดิม เพราะเป็นนักกีฬาและตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่ยังเป็นเจย์คนใหม่ที่มีความซ่าส์อยู่ในตัวเสมอ แต่อยู่ในกรอบมากขึ้น (หัวเราะ) ตอนที่กลับมาจากอินเดียใหม่ ๆ คุณแม่สงสารเพราะเป็นโรคบิด เนื่องจากเราไม่ค่อยระวังตัวเรื่องการดื่มน้ำ การกินอาหาร คุณแม่เลยให้ย้ายที่เรียนดีกว่า ตอนแรกจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย จังหวะว่าเพื่อนคุณแม่มีน้องสาวเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่อเมริกา และอยู่ในเมืองเล็กในรัฐ Kansas ดูแล้วว่าผมไม่สามารถเกเรได้แน่นอน เพราะเป็นเมืองเงียบ เป็นคนอเมริกันมาก ๆ ด้วย เลยลองติดต่อไป กลับมาจากอินเดียได้ 2 อาทิตย์ผมบินไปเรียนต่อที่อเมริกาทันที
แม้จะมีประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศมาบ้าง แต่ยังไม่ช่วยอะไรมากนักกับการมาเรียนต่อที่อเมริกา เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เด็กซ่าส์คนนี้ถึงกับบ่นอุบอยากกลับบ้าน ปรับตัวเยอะกว่าอินเดียมาก ปรกติผมเรียนโรงเรียนประจำอยู่ตลอดไม่เคยเป็นอะไรนะ แต่ครั้งนี้มาอยู่แล้วเกิดความเหงามาก อาทิตย์แรกผมโทรกลับบ้านบอกคุณแม่ว่าอยากกลับบ้านเลยนะ แต่คุณแม่บอกว่าต้องสู้ต่อไปเพราะเราไปถึงที่แล้ว ผมก็ฮึดขึ้นมาอีกรอบ คือปรกติผมเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ มีเพื่อนตลอดเวลา แต่มาที่นี่ผมไม่มีเพื่อนเลย เป็นเด็กไทยคนเดียวด้วย บรรยากาศมันบรรยายไม่ถูกเลย หลัง ๆ ถึงจะมีคนไทยมาเรียน และเราเริ่มที่จะปรับตัวได้บ้าง มีเพื่อนเพิ่มขึ้น มีเหตุการณ์หนึ่งตลกมากครับ ในหอพักมีนักเรียนเกาหลีเยอะ แต่เขาไม่คุยกับผมเลยนะ ยังงงเลยว่าเอ๊ะทำไมมันไม่คุยกับเรา หรือไปทำอะไรให้หรือเปล่า แต่ผมก็เพิ่งจะมาเองนะ เขาไม่คุยกับผม 4 เดือนด้วยกัน เข้าสู่เทอมที่ 2 เพื่อนกลุ่มนี้ (เกาหลี) ถึงจะมาคุยกับผม เราก็ถามว่าทำไม 4 เดือนเห็นหน้ากันทุกวันไม่คุยกับเราเลย เขาสารภาพกับผมว่า นึกว่าคนไทยทั้งประเทศเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ (หัวเราะ) เพราะเขาเคยเจอเหตุการณ์ที่เพื่อนคนไทยพยายามที่จะไปลวนลามทั้ง ๆ ที่เตะบอลด้วยกัน แต่เขาไม่รู้ว่าเพื่อนคนไทยคนนี้เป็นเกย์ หลังจากที่รู้ไอ้เพื่อนคนนี้มันเลยกลัวไปเลย ตลกมากครับ จากตรงนั้นทำให้ได้เพื่อนเป็นกลุ่มเยอะมาก ฝึกปรือภาษาอังกฤษจากการดูหนัง ทุกวันผมเช่าหนังมาวันละ 3 เรื่อง เปิดและจดศัพท์จากซับไตเติ้ล ไม่รู้คำไหนเราเปิดดิกชันนารีเลย ตอนนั้นภาษาอังกฤษพูดได้นิดหน่อย พอสั่งอาหารได้ แต่ว่าให้คุยเยอะ ๆ ยังไม่ได้ วิธีที่ผมทำหลังจากนั้น 1 เทอมผมพูดเป็น พูดคล่องมากขึ้น ประกอบกับเราได้ใช้ภาษาทุกวันด้วยจึงทำให้เป็นเร็วมากขึ้น หลังจากที่ปรับตัวเข้ากับสถานที่เรียนได้แล้ว หนุ่มน้อยคนนี้ยังได้ตื่นเต้นกับกิจกรรมใหม่ที่เด็กนักเรียนไทยไม่เคยได้สัมผัส เทรนด์ของเด็กอเมริกันช่วงนั้นฮิตออกกำลังมาก หลังเลิกเรียนต้องเข้ายิมไปยกเวท ทำอย่างนี้ทุกวัน ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากนะ เพราะเราจะได้ใช้เวลาว่างไปในทางที่ดี ไม่ต้องไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ประสบการณ์ใหม่เหมือนในหนังที่ผมเคยดู แต่มันคือเรื่องจริง อย่างเรื่องปาร์ตี้งานพรอม ถือเป็นกิจกรรมที่แปลกใหม่สำหรับเด็กไทยอย่างผม ต้องไปชวนสาว ๆ มาออกเดท ตอนนี้เมืองไทยเริ่มมีแล้วนะ แต่อเมริกาเรื่องออกเดทแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะครับ เหมือนเราได้สร้างเพื่อนใหม่ ๆ เป็นงานที่จัดขึ้นทุกปีด้วย
หลังจากเรียนจบไฮสคูล เจย์เรียนต่อปริญญาตรีที่ Community College แต่เนื่องจากเขายังสับสนกับการเรียนที่ค่อนข้างหนัก ประกอบกับเจย์เริ่มทำงานพิเศษควบคู่กันด้วย ทำให้การเรียนของเขาเริ่มไขว้เขว สุดท้ายเจย์จึงลาออก แรก ๆ งงมากเลย คิดว่าตัวเองคงเรียนไม่รอดแน่ เพราะเขาจะเรียนกันเร็วมาก มีงานส่งทุกวัน ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่ได้คะแนน ประกอบกับช่วงนั้นผมทำงานเยอะมากด้วย เลยทำให้ไขว้เขวไปด้วย ทำงานทุกอย่างเลย ทั้งส่งอาหาร ส่งของ เสิร์ฟ ซึ่งผมไปติดใจกับตรงนั้นเยอะกว่าเรื่องการเรียน สนุกครับ อีกอย่างที่สำคัญคือ ได้เงินด้วยครับ รายได้ดีมาก ๆ (หัวเราะ) เดือนหนึ่งประมาณ 2-3 พันเหรียญ สองแสนกว่าบาทถ้าเทียบเป็นเงินไทยนะครับ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องขอคุณแม่ด้วย จึงตัดสินใจลาออกดีกว่า ทำงานพิเศษอยู่ประมาณ 2 ปีกว่า จากนั้นเริ่มรู้สึกว่าเราคงต้องกลับมาเรียนสักทีแล้ว กลับมาเรียนต่อที่เมืองไทย Southern New Hampshire University เป็นสาขาที่เมืองไทย เรียนแบบอัดแน่นมาก 2 ปีจบครับ ผมเลือกเรียนด้าน Business ไม่ยากครับ เกรดเฉลี่ยดีด้วยประมาณ 3 กว่า ๆ สรุปแล้วผมมาค้นพบว่าทำไมคนต้องเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นการพัฒนาสมอง เหมือนเป็นการชะลอคนที่เรียนจบไฮสคูลกับการทำงาน คือคนปลดเกษียณน้อยกว่าคนที่เรียนจบ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องเอาไปชะลอในมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี ให้ค้นว่าตัวคุณนั้นชอบอะไรจริง ๆ
6 ปีในการไปใช้ชีวิตที่อเมริกา จากเด็กดื้อกลายเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความรับผิดชอบ มีความคิดแบบไม่พึ่งพาคนอื่น ขอยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ที่สำคัญอเมริกาบ่มเพาะนิสัยให้เขาเป็นเด็กที่กล้าแสดงออกในทางที่ถูก ผมกล้าแสดงออก ผมเล่นกีฬาเก่ง ผมต้องโชว์ให้รู้เลยว่าเราเล่นกีฬาเก่งนะ ต้องให้รู้ว่าเราเก่งด้านไหน แต่ที่เมืองไทยเด็กเก่งเป็นเรื่องน่าอาย ไม่กล้า บางคนเล่นดนตรีเก่งอยู่ที่บ้านต่อหน้าพ่อแม่เท่านั้น อีกหนึ่งมุมมอง คนอเมริกันรักอิสระมาก ทำอะไรคุณต้องช่วยเหลือตัวเอง เด็ก ๆ เขาทำงานพิเศษกันหมดแล้ว แม้บ้านเขาจะมีฐานะร่ำรวย คือครอบครัวเขาจะปลูกฝังว่าคุณต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยการทำงาน เด็กฝรั่งเขาจะเก่งตรงนี้แหละ เพราะเขาเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น อยากได้อะไรต้องเริ่มเก็บเงินด้วยตัวเอง ไม่ได้มานั่งแบมือขอพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา ผมมองว่ามันเป็นระบบของประเทศเขาที่ดีมาก การไปเรียนต่อและใช้ชีวิตยังต่างบ้านต่างเมืองต้องเปิดตาเรียนรู้สิ่งใหม่ เปิดใจให้กว้าง สามารถรับได้ทุกสถานการณ์ และทำให้เหมือนเป็นบ้านของเราพร้อมกับศึกษาวัฒนธรรมของเขาจริง แล้วคุณจะได้รับสิ่งใหม่ ๆ กลับมาด้วยนอกเหนือจากความรู้ ดีเจเจย์เขาฝากคำแนะนำมาค่ะ ที่มา " เรียนรอบโลก " ผู้เขียน : oakky วิไลรัตน์ ต่ายประยูร ช่างภาพ : ดอน