ได๋-ไดอาน่า เผยรสชาติชีวิต แนะเรียนนอกต้องเตรียมพร้อม
เธอคนนี้จัดว่าเป็นสาวเก่งอีกคนของวงการ ได๋-ไดอาน่า จงจินตนาการ หลังจากที่ทิ้งวงการบันเทิงไป 2 ปีเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม วันนี้เธอสำเร็จการศึกษา Master of Fine Arts จาก Academy of Art University เรียนจบมาทางด้าน Motion Pictures and Television
จากนักแสดงที่มีชื่อเสียง ได๋ตัดสินใจหันหลังให้กับงานที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำและลัดฟ้าไปเรียนต่อ ประกอบกับเรื่องการเดินไปต่างประเทศบวกกับภาษาอังกฤษที่พูดได้เข้าขั้นดีจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ของสาวคนนี้ ฉะนั้นการไปเรียนต่อต่างประเทศเธอจึงมองว่าเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่นี่คือสิ่งที่น้องได๋คิดผิดเป็นอย่างมาก การเป็นนักเรียนต่างชาติมีองค์ประกอบมากมาย แล้วเธอฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้อย่างไร ลองศึกษาเรื่องราวของเธอเก็บไว้เป็นข้อมูลก่อนแพ็กกระเป๋าได้นะคะ เรียนต่อ ณ อเมริกา San Francisco, Californiaได๋มาเรียนต่อเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์ค่ะ ที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะว่าอนาคตวันหนึ่งเราอาจจะต้องทำอะไรเกี่ยวกับตรงนี้ เลยคิดว่าไปเรียนเพิ่มเติมน่าจะดีเหมือนกัน จริง ๆ แล้วได๋เรียนจบปริญญาตรีมาทางด้านภาษาจีนที่ ABAC แต่ได๋คิดว่าปริญญาอีกใบหนึ่งที่ได้มาพร้อม ๆ กันนั่นคือการได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง และได๋ได้เรียนรู้มาตั้งแต่อายุ 12 นะคะ การเรียนสาขานี้ถือเป็นการเรียนเพิ่มเติม บวกกับได๋ต้องการพักการทำงานเพื่อไปหาประสบการณ์ด้วย ความผิดพลาดกับการที่ไม่ได้เตรียมพร้อม ก่อนไปได๋ไม่ได้หาข้อมูลอะไรมากมาย แค่ดูรูปถ่ายจากเพื่อน ๆ และศึกษาว่าเมืองที่เราจะไปอยู่นั่นเป็นอย่างไรแค่นั้นเองค่ะ ตอนนั้นเราคิดว่าเราเก่งเพราะเราเดินทางบ่อย เที่ยวบ่อยด้วยที่อเมริกาคิดว่าไม่ต้องมีอะไรมาก มีกระเป๋าใบเดียวเอง เสื้อกันหนาวยังไม่มีเลยค่ะ แล้ววันที่กำลังเดินทางนั้นได๋ยังอัดรายการอยู่เลยค่ะ อีกอย่างมีเพื่อนอยู่ที่โน้นเยอะด้วย เลยไม่กังวล นึกอย่างเดียวคือเราอยากเป็นนกได้ปลดปล่อยตัวเอง (หัวเราะ) ได้บินออกไปข้างนอก เพราะอยู่เมืองไทยเราทำอะไรไม่ได้มาก เรียกว่ามาที่นี่เราเต็มไปด้วยความหวัง แต่พอมาถึงจริง ๆ แล้ว เริ่มรู้สึกเลยว่าตัวเองเตรียมตัวมาไม่ดีเลย หนึ่งคือยังไม่ได้หาบ้านพัก ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมาก ตอนนั้นที่มาบังเอิญว่าได๋ยังอยู่โหมดปาร์ตี้อยู่เลย ฉันจะไปเพื่อพักผ่อนและเรียน ผิดกับคนอื่น ๆ ที่เขามาเรียนต่อ นั่นคือเรียนภาษา สองคือหาที่อยู่ แต่ได๋ทำตรงข้ามหมดเลย จริง ๆ แล้วที่ได๋ไม่ได้หาบ้านพักเพราะว่าเราตั้งใจมาอยู่กับเพื่อน และเพื่อนเขายินดีมากบอกให้เราอยู่เลย เพราะเขาอยู่กับพี่แค่ 2 คนเท่านั้น เราก็ว่าดีเป็นการประหยัดด้วย (ยิ้ม)
ชั่วโมงแรกของการเรียน & เหตุการณ์ที่แสนหฤโหด มาถึงได้ 2 อาทิตย์ยังมีเวลาไปเที่ยวค่ะ เพื่อนที่เราพักอยู่ด้วยเขาพาเราตะลุยเที่ยวเลย (หัวเราะ) แต่พอเปิดเทอมวันแรกเกิดเรื่องเลยค่ะ คือก่อนหน้าที่จะไปมหาวิทยาลัยนั้นได๋ได้วางแผนและเตรียมเส้นทางการเดินทางไว้แล้ว แต่เมื่อถึงวันนั้นจริง ๆ กลับผิดพลาดไปหมด วันนั้นเป็นช่วงเวลา 9 โมง คนเขาเริ่มเดินทางไปทำงานกันแล้ว ได๋เริ่มต้นเดินทางจากเพื่อนไปส่ง ต่อจากนั้นเดินเท้าไปต่อรถเมล์ เสร็จปุ๊บไปต่อรถบลาธ ยังไม่ถึงนะคะ ต้องต่อรถเมล์อีกที พอถึงที่ปุ๊บต้องเดินหาถนนอีกว่าอยู่ตรงไหน อยู่เมืองไทยเราขับรถเอง รู้จักทางไปหมด อยู่โน้นเราไม่รู้จักทย และคิดอีกอย่างว่าเมืองนอกรถไม่น่าจะติด 9 โมงครึ่งยังไม่ถึงมหาวิทยาลัยเลย ปรกติเพื่อนขับรถไปส่ง 15 นาทีถึงแล้ว วันนั้นวิชาแรกปรากฏว่าไปสายค่ะ วิชาแรกเราโดนอาจารย์ว่าเลย ประเทศคุณเขาไม่ตรงต่อเวลากันเหรอ กรุณาตรงต่อเวลาด้วยในการมาครั้งต่อไป เพราะในคลาสนี้ถ้าคุณมาสาย 3 ครั้ง วิชานี้ดร็อปไปเลย ตอนนั้นแทบจะร้องไห้เลย ได๋จึงตัดสินใจเดินไปบอกอาจารย์ว่างั้นขอดร็อปเรียนเลยแล้วกัน เราก็ให้เหตุผลเขาไปว่านี่คือการมาเรียนครั้งแรกของเราในเมืองนี้ เราไม่ได้ตั้งใจมาสาย ทำไมเขาไม่เข้าใจว่าเราคือชาวต่างชาตินะ ปรากฏว่าได๋ไม่ได้ไปเรียนแต่เราอ่านเองแล้วไปสอบปรากฏว่าสอบได้ด้วย โชคดีไปค่ะ เดินออกจากบ้านเพื่อน และเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเอง อยู่บ้านเพื่อนไป ๆ มา ๆ ไม่ค่อยสะดวกค่ะ เพราะหลงบ่อยมาก อีกอย่างไกลจากมหาวิทยาลัยด้วย เลยตัดสินใจว่าไม่รบกวนเขา เรามาดูแลตัวเองดีกว่า เร่ร่อนอยู่พักใหญ่ ๆ เข้าประมาณอาทิตย์ที่ 3-4 ได๋มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อน เป็นอพาร์ตเมนต์ใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย โชคดีมีห้องว่างเลยเข้าไปคุยกับเขาว่าเราจะขอเช่าห้องนะ เท่านั้นแหละค่ะโอ้โห! รู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายเลย คือเราต้องมีสเตทเมนต์ของธนาคาร ต้องมีจดหมายจากมหาวิทยาลัย บุ๊คแบงก์จากผู้ปกครองว่าจะส่งเงินมาให้เด็กคนนี้ เป็นเรื่องราวเยอะมาก ซึ่งเราไม่รู้เรื่องเลยต้องมานั่งนับจากศูนย์เลยค่ะ วันแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่อพาร์ตเมนต์ ปัญหาคือเรามีห้องโล่ง ๆ ไม่มีอะไรเลย แต่โชคดีเพราะได๋มีเพื่อนเยอะ ภายในหนึ่งวันเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างมีมาเกือบครบเลยค่ะ แต่มาเครียดอีกตรงที่ว่ามันยังไม่ได้ต่อ เราต้องมานั่งต่อ ภายใน 5 ชั่วโมงเราได้ห้องในฝันของเรา จำได้ว่าย้ายเข้าอยู่ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หลายคนไปดินเนอร์ แต่เพื่อน ๆ ก่อนไปเขาก็มาช่วยเราก่อน (หัวเราะ) ใครไปเรียนเมืองนอกต้องรู้จักร้าน IKEA เป็นแหล่งซื้อเฟอร์นิเจอร์สำหรับนักศึกษา
จากคุณหนูสู่สามัญ อยู่เมืองไทยปรกติแม่จะทำให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเงินเข้าแบงก์ แต่อยู่นี่เราต้องทำเองไม่ว่าจะเสื้อผ้าต้องซัก บ้านต้องทำความสะอาด แรก ๆ มันเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก ปรกติเราเป็นคุณหนู (หัวเราะ) แต่ที่นี่มีแค่เราตัวเราคนเดียวจริง ๆ ใครไม่ไปอยู่ตรงนั้นไม่รู้หรอกค่ะว่ามันคือโคตรชีวิตจริง ๆ เช้ามาที่นอนไม่เก็บมันก็อยู่อย่างนั้น กับข้าวถ้าเราไม่ทำก็จงหิวอย่างนั้นตลอดไป มันเป็นรสชาติชีวิตค่ะ เราต้องต่อสู้กับอะไรหลาย ๆ อย่าง ยิ่งวันไหนห้องว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากตัวเราเอง โทรศัพท์ยังไม่มีเลย ถ้าจะโทร.ต้องหยอดเหรียญ นอนร้องไห้ทุกคืน 3-6 เดือนแรก ในที่สุดก็ชิน จากที่นอนร้องไห้เป็นนอนร้องเพลง หากิจกรรมทำ ดูดฝุ่นบ้าน ซักผ้า มีอะไรในบ้านให้ทำเยอะแยะ หลัง ๆ กลายเป็นว่าเรามีความสุขกับการดูแลตัวเอง จากที่คิดว่ามันคือหินก้อนใหญ่ทับอกเรา แต่พอเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองได้ ก็กลายเป็นบทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ได๋ไม่ได้ทำงานพิเศษค่ะ เคยอยากลองทำและไปสมัครที่ร้านอาหารญี่ปุ่น เพราะเราเข้าใจจากประเทศไทยว่าไปเรียนเมืองนอกหางานพิเศษทำได้ แต่จริง ๆ ผิดกฎหมาย เพิ่งจะมาเรียนรู้ว่าการทำงานของเขาคือนักศึกษาไทยจะทำร้านอาหารไทย เหมือนเราไปช่วยงานเขา เป็นพี่เป็นน้องกัน และเขาจ่ายค่าจ้างเป็นเรตกันเอง นัึกษาไทยแอนด์เดอะแก๊งกะเหรี่ยง ชีวิตในมหาวิทยาลัย ได๋จะเจอคำถามนี้บ่อยมากว่า คุณอยู่อเมริกามากี่ปีแล้ว เราตอบไปว่า A Week เขาทำหน้าแปลกใจว่าทำไมพูดภาษาอังกฤษคล่อง ได๋บอกกลับไปอีกว่าเราเรียนโรงเรียนนานาชาติมาตั้งแต่เด็ก ในความรู้สึกของชาวต่างชาติถ้าคุณไม่ได้มาจากประเทศเขาคุณไม่มีทางพูดภาษาอังกฤษได้ ตอนแรกได๋อยากมีเพื่อนเยอะ พยายามคบเพื่อนฝรั่งเพราะอยากฝึกภาษาให้เก่ง ๆ ไปเลย และปฏิเสธเพื่อนคนไทย เพื่อนเอเชีย แต่เรามานั่งคิดดูแล้วเพื่อนคนที่คอยช่วยเหลือเราคือเพื่อนคนไทย คนที่พาเราไปซื้อกับข้าวคือเพื่อนฮ่องกงของเรา การไปนั่งปรับตัวกับคนที่วัฒนธรรมแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิงนั้นมันยากนะคะ เราจะฝึกภาษาด้วยการพูดคุยกับเขาได้ แต่จะให้เขามารู้ใจนั้นไม่ได้หรอกค่ะ วันนั้นถ้าเราหยิ่งไม่รับน้ำใจจากเพื่อน ๆ ได๋คงไม่ได้เรียนจบแบบนี้ คงกลับบ้านตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้ว เพราะฝรั่งเขาตัวใครตัวมัน จะมีเด็กเอเชียเท่านั้นที่เข้าใจกัน เพราะเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน เรียนอยู่ 2 ปีกว่าและมีกลุ่มเพื่อน ๆ ชื่อว่ากะเหรี่ยง คือมีหลายชาติมากที่เป็นเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน พม่า ไทย ฟิลิปปินส์ เราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได๋รู้เรื่องภาษาอังกฤษจะทำโน้ตแจกเพื่อนเลย เพื่อนคนไหนเก่งกำกับเขาจะมาสอนเรา กลายเป็นกะเหรี่ยง คอมมูนิตี้ ที่ต่อสู้กับฝรั่ง (หัวเราะ) การเรียนที่ทำงานร่วมกัน ถ่ายหนังทุกวัน ถ้าทัศนคติไม่ตรงกันงานจะ.....ฉะนั้นเราต้องเลือกคนด้วย สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจจะลัดฟ้าไปเรียนต่อ น้องได๋ฝากคำแนะนำมาให้เป็นแนวทาง ถามตัวเองให้แน่ใจว่าจุดประสงค์การไปต่างประเทศของเราเพื่ออะไร แต่ถ้าคุณอยากเรียนภาษาในความคิดได๋ไม่จำเป็นต้องเรียนต่อต่างประเทศ เราสามารถฝึกเองได้ บางคนไปเรียนต่อต่างประเทศอยู่กับเพื่อนคนไทย ทานข้าวร้านอาหารไทย ดูละครไทย ซึ่งบรรยากาศเดิม ๆ มาก จบมาคุณได้แค่ปริญญามาเท่านั้นเอง แต่ภาษาคุณไม่ได้เลย กลับกันถ้าคนที่ไม่ได้ไปอยู่ต่างประเทศแต่มีความมุ่งมั่น เรียนรู้ด้วยตัวเองจากการดูหนังฝรั่ง หรือใส่ตัวเองที่อยู่ในสถานการณ์ ใครจะว่าโอเวอร์แอ็คชั่น ทำไมต้องทำสำเนียงแบบนี้ ไม่เป็นไร อย่าไปสนใจ เราอยากเรียนภาษา เราเองจะได้ประโยชน์จากตรงนั้น ถ้าเราอยากเรียนหลักสูตรต่าง ๆ โอ.เค.คุณไปเถอะ บางครั้งถ้าหาตัวเองไม่เจอบางทีอาจไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ได้ เป็นคำแนะนำง่าย ๆ แต่ไม่ยากจนเกินไปนะคะ ลองค้นหาตัวเองให้ชัดเจนจะได้ไม่เปลืองเวลา และที่สำคัญจะได้ไม่เปลืองสตางค์คุณพ่อคุณแม่ด้วย