10 อันดับ เมืองที่มี มลพิษ มากที่สุดในโลก
อันดับที่ 10 เมือง คับเว ประเทศแซมเบีย
เมืองคับเวเคยรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมเหมืองแรสังกะสีและตะกั่วจนถึงปี 1994 อุตสาหกรรมนี้ได้ทิ้งฝุ่นตะกั่วไว้ในดินโลหะหนักไว้ในน้ำ งานวิจัยระบุว่ามีการกระจายของตะกั่ว แคดเมียม ทองแดง สังกะสีปนเปื้อนอยู่ในดินในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ในรัศมี 20 กิโลเมตร มีประชาชนได้รับผลกระทบ 255,000 ตน
อันดับที่ 9 เมือง เชอร์โนบิล ประเทศยูเครน
แม้ว่าอุบัติเหตุเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ระเบิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 จะผ่านไปเป็นเวลา 21 ปี และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 5.5 ล้านคนแล้วก็ตาม แต่บริเวณในรัศมี 19 ไมล์ รอบ ๆ โรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ได้ กัมมันตภาพ รังสีส่วนใหญ่ยังถูกเก็บกักไว้ภายในโรงไฟฟ้า รอยรั่วของโครงสร้างโรงไฟฟ้าอาจทำให้น้ำฝนไหลเข้าไปจนทำให้เกิดของเหลวเป็น พิษและปนเปื้อนในน้ำใต้ดินได้
อันดับที่ 8 เมือง นอริลสค์ ประเทศรัสเซีย
เมืองนอริลสค์อยู่ในไซบีเรีย เป็นเมืองที่มีอุตสาหกรรมหลอมโลหะที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละปีมลพิษจากทองแดงและนิเกิลออกไซด์ เกือบ 500 ตัน และกำมะถันอีก 2 ล้านตันถูกปล่อยสู่อากาศ เมืองนอริลสค์เป็นหนึ่งในเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในรัสเซีย หิมะที่นี่มีสีดำ ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษในอากาศ 134,000 คน
อันดับที่ 7 เมือง เซอร์ซินสค์ ประเทศรัสเซีย
นี่คือเมืองที่หนังสือกินเนสส์บุ๊กบันทึกว่าเป็นเมืองที่มีมลพิษทางเคมีมาก ที่สุดในโลก เมืองเซอร์ซินสค์เป็นศูนย์กลางการผลิตเคมีภัณฑ์และอาวุธเคมีตั้งแต่ครั้ง สงครามเย็นรวมทั้งการผลิตน้ำมันที่มีสารตะกั่วด้วย มลพิษของเมืองนี้คือแก๊สซาริน แก๊สวีเอ็กซ์ รวมทั้งสารตะกั่ว มีประชาชนได้รับผลกระทบ 300,000 คน
อันดับที่ 6 เมือง ลา โอโรยา ประเทศเปรู
เมืองเหมืองแร่บริเวณเทือกเขาแอนดิสและแหล่งหลอมโลหะนับตั้งแต่ปี 1922 ประชาชนในเมืองนี้ได้รับผลกระทบจากมลพิษและของเสียจากเหมืองและโรงงาน คือ สารตะกั่ว ทองแดง สังกะสี และกำมะถัน ปัจจุบันทางการเปรู ขึ้นบัญชีเป็นเมืองที่มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเลวร้าย 99% เด็กที่อาศัยอยู่ในและรอบ ๆ เมืองมีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินมาตรฐาน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 35,000 คน
อันดับที่ 5 เมือง วาปี ประเทศอินเดีย
เมืองวาปีอยู่ในรัฐคุชราต มีอุตสาหกรรมต่างๆ มากกว่า 50 ชนิด ในจำนวนนี้มี อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยาฆ่าแมลง สิ่งทอ ยารักษาโรค เมื่อปี 1994 องค์การ Central Pollution Control Board of India (CPCB) ประกาศว่าเมืองวาปีเป็นเขตมลพิษรุนแรง มลพิษ มาจากของเสียในโรงงานอุตสาหกรรม อาทิ โลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ไซยาไนด์ ทำให้ประชาชนป่วยเป็นโรคผิวหนังอักเสบ โรคปอด และมะเร็งช่องคอ น้ำใต้ดินที่เมืองวาปีปนเปื้อนสารปรอทและสารตะกั่วเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดเกือบ 100 เท่า มีประชาชนได้รับผลกระทบ 71,000 คน
อันดับที่ 4 เมือง สุกินดา ประเทศอินเดีย
แหล่ง แร่โครไมท์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอินเดียมลพิษมาจากเหมืองแร่โครไมท์ จำนวน 12แท่ง ซึ่งดำเนินกิจการโดยไม่มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม เศษหินกว่า 30 ล้านตันกระจายไปทั่วบริเวณรอบ ๆ เหมืองน้ำเสียจากเหมืองซึ่งไม่ได้รับการบำบัดไหลลงแม่น้ำที่เป็นเส้นเลือด ใหญ่ของชุมชน น้ำที่ใช้ดื่มปนเปื้อนสาร Hexavalent Chromium ประมาณ 60% อากาศและดินก็ปนเปื้อนสารดังกล่าวนี้ด้วย มีประชาชนได้รับผลกระทบ 2.6 ล้านคน
อันดับที่ 3 เมือง เทียนหยิง ประเทศจีน
มืองเทียนหยิงอยู่ในมณฑลอานฮุย ซึ่งเป็นมณฑลที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน การใช้เทคโนโลยีต่ำการผลิตที่ผิดกฎหมาย และการขาดมาตรการควบคุมมลพิษเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปล่อยสารตะกั่วและโลหะ หนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารตะกั่วมีปริมาณสูงกว่ามาตรฐานด้านสุขภาพหลายเท่า แหล่งปล่อยสารตะกั่วคือเหมืองตะกั่วขนาดใหญ่ มีประชาชนได้รับผลกระทบ 140,000 คน
อันดับที่ 2 เมือง หลินเฟิน ประเทศจีน
เมืองหลินเฟินอยู่ในมณฑลชานสี ศูนย์กลางการใช้พลังงานถ่านหินของจีน เป็น 1ใน 20 เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลกจากการศึกษาของธนาคารโลก (16 เมืองอยู่ที่จีน) และเป็นเมืองที่มีคุณภาพของอากาศเลวร้ายที่สุดในจีนจากการศึกษาขององค์การ State Environmental Protection Administration (SEPA) มลพิษ ที่ถูกปล่อยออกมามีหลายชนิด เช่น เขม่าคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ เป็นต้น แหล่งปล่อยที่สำคัญคือโรงงานอุตสาหกรรมและยานยนต์ มีประชาชนได้รับผลกระทบจากมลพิษมากถึง 3 ล้านคน
อันดับที่ 1 เมือง ซัมกายิต ประเทศอาเซอร์ไบจาน
เมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเคมีการเกษตร ซึ่งรวมทั้งยางสังเคราะห์ อลูมิเนียม และยาฆ่าแมลง โรงงานอุตสาหกรรมผลิตสารเคมี น้ำมัน และโลหะหนักปล่อยมลพิษสู่อากาศปีละ 70-120,000 ตัน มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 275,000 คน อัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งของเมืองนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 22-51% การเปลี่ยนแปลงของยีนรวมทั้งเด็กพิการแต่กำเนิดถือเป็นเรื่องปกติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://toptenthailand.com/