มีรักอย่างมีสติ เรื่องเตือนใจจาก "เธอ" และ "เขา"

มีรักอย่างมีสติ เรื่องเตือนใจจาก "เธอ" และ "เขา"

มีรักอย่างมีสติ เรื่องเตือนใจจาก "เธอ" และ "เขา"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อความเหงาถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่คิดว่าเป็นความรัก คนเราก็พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้รักนั้นยังคงมีอยู่ต่อไปโดยลืมคิดว่าผิดหรือถูก ดังเช่น 2 เรื่องราวอุทาหรณ์จากประสบการณ์จริงของเธอและเขา ซึ่งก้าวเดินพลั้งพลาด เมื่ออดีตไม่สามารถแก้ไขได้ สิ่งเดียวที่ ‘ปอย' และ ‘โม' ทำได้ในตอนนี้ ก็คือเลือกทางเดินชีวิตที่เหมาะสมและก้าวเดินต่อไปโดยมีครอบครัวเป็นแรงใจคอยให้คำปรึกษา

‘ปอย' นามสมมุติของ ‘เธอ' ที่ในขณะนี้ได้กลายเป็นคุณแม่วัย 18 ที่มีลูกชายวัย 3 ขวบอยู่เคียงข้าง เล่าย้อนกลับไปว่า เมื่ออายุ 4 ขวบ พ่อกับแม่แยกทางกันต่างคนต่างแต่งงานใหม่ ตัวเธอย้ายมาอยู่ กับครอบครัวใหม่ ของแม่ ในขณะเดียวกันก็โดนกีดกันไม่ให้เจอหน้าพ่อ ความอ้างว้างและสงสัยจึงเกิดขึ้นในจิตใจ จนเมื่ อเติบโตขึ้นความรู้สึกหมางเมินระหว่างแม่ ถูกทดแทนด้วยความสนุกสนานที่เพื่อนมอบให้ทุกเวลาและนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต

"ช่วงนั้นทะเลาะกับเพื่อน เพราะเขาเอาแฟนมานอนด้วย แต่ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะชอบหนู เพื่อนก็โกรธหาว่าให้ท่าแฟนเขาตอนนั้นเหมือนหมดที่พึ่ง เลยตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านของตั้มผู้ชายที่กำลังคบกัน ด้วยความที่เขาบอกว่าอยากให้เราเป็นแม่ของลูกเขา เราก็รักเขามากจนคิดว่าชีวิตนี้จะอยู่ ด้วยตลอด อีกทั้งเห็นว่าพ่อแม่ เขาก็มีฐานะและเอ็นดูเรา"

เมื่อย้ายมาอยู่บ้านของตั้ม ปอยได้หยุดเรียน ในขณะที่แฟนหนุ่มยังคงไปเรียนตามปกติ ไม่นานเขาก็เริ่มพูดน้อยลง ไปเล่นกีฬากับเพื่อนมากขึ้น กลับบ้านดึกเป็นประจำ และเมื่อบอกให้เขารับรู้ว่าประจำเดือนไม่มา แฟนหนุ่มก็ทำหน้านิ่งเฉย แล้ววันถัดมาเขาก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้าน

สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจบอกแม่ของตั้มว่าตั้งท้อง คำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงประโยคสั้นๆว่า "แม่ช่วยอะไรไม่ได้ ปอยทำตัวให้เป็นแบบนี้เอง" ก่อนเธอจะตัดสินใจโทรกลับไปขอคำแนะนำจากแม่บังเกิดเกล้าซึ่งดุว่ามายืดยาว กระทั่งมาจบลงที่คำว่า "กลับบ้านเราเถอะลูก ไม่ต้องกลับไปหาเขาอีก"

"ระหว่างเก็บของกลับบ้าน ตั้มเอาเงินมาให้หนึ่งหมื่นบาทแล้วบอกว่าให้ไปเอาเด็กออกซะ ส่วนพ่อเขาก็เอาเงินใส่ซองให้ 4,000 บาท แล้วบอกกับเราว่าเป็นค่าเสียหาย ชีวิตรู้สึกตกต่ำมาก ยิ่งตอนท้องหนูยังอายุไม่ครบ 15 เลย ความคิดยังเด็กมากและคิดว่าการมีลูกคือภาระ เลยคิดจะไปทำแท้ง แต่พอมาถึงบ้าน แม่บอกไม่ต้องเอาเด็กออกให้เลี้ยงไว้ เพื่อนก็บอกว่าบาปอย่าเอาออกเลย แล้วมาคิดได้ทีหลังว่า ตัวเองเกิดมามีทั้งพ่อกับแม่ เราก็ยังเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้วลูกจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับวิธีการดูแลและเอาใจใส่ของตัวเราเองมากกว่า เลยตัดสินใจไม่ทำแท้ง"

ระหว่างที่ตั้งท้องก็ทำงานและเก็บเงินไปด้วย เพราะอยากมีค่าใช้จ่ายในการดูแลลูกที่กำลังจะเกิดมา พอหลังคลอดร่างกายเริ่มแข็งแรงแล้วก็รีบสมัครงานพร้อมกับสมัครเรียนไปด้วย

"ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างมันอยู่ที่เราเลือกเอง ในช่วงที่ผิดพลาดก็เป็นเพราะอยากรู้อยากลอง เรื่องแบบนี้ก็คงไม่ เกิดขึ้นถ้ารู้จักป้องกันตัวเองและไม่เชื่ออะไรใครง่ายๆ"

ทุกวันนี้เธอเริ่มชีวิตใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ชีวิตน้อยๆ ที่ได้ให้กำเนิดมีความอบอุ่น พร้อมทิ้งท้ายข้อคิดเตือนใจวัยรุ่นสาวว่า อย่าเชื่อและไว้ใจคำพูดใครง่ายๆ เพราะคำพูดบางคำของผู้ชายบางคน อาจทำให้ชีวิตดีขึ้นเพียงไม่กี่เดือน แต่หลังจากนั้นชีวิตที่เหลือจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย

‘โม' คือนามสมมุติของ ‘เขา' เด็กหนุ่มที่วันนี้ได้เปลี่ยนตัวเองจากชีวิตที่มีแต่ด้านมืด กลับมาอยู่ในด้านที่สว่างอีกครั้งที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก

จากครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องทั้งหมด 4 คน แต่ด้วยความที่เป็นลูกผู้ชายคนโต ความกดดันทั้งหมดจึงถาโถมกดดันจนทำให้เขาหาทางออกด้วยการใช้ยาเสพติด อีกทั้งเพราะค่านิยมที่ คิดไปเองว่าพฤติกรรมแบบนี้จะทำให้เท่และกลายเป็นที่ยอมรับในหมู่เพื่อนฝูง สุดท้ายก็ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 14 จนแม่ต้องพาไปเข้าสถานบำบัดและก็เลิกยาได้ แต่พอเข้าอายุเข้า 17 ปี ก็เริ่มมีแฟนและก่อคดีร้ายแรงติดตัว

"ช่วงนั้นปวดหัวมากเพราะแฟนตั้งท้อง อีกทั้งต้องต่อสู้เรื่องคดี เลยตัดสินใจพาแฟนไปทำแท้ง แต่พอถึงด้านหน้าคลินิกเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินร้องไห้ออกมา เลยทำให้คิดได้ว่าที่ผ่านมาตัวเองก็เคยทำร้ายคนอื่นมาเยอะแล้ว เลยไม่อยากจะทำร้ายเด็กที่กำลังจะเกิดมาด้วยวิธีนี้อีกและก็เป็นห่วงแฟนที่ต้องมาเจ็บตัว เลยตัดสินใจให้เขาได้มาเกิดเป็นลูกของเราดีกว่า"

โมเล่าว่า ถ้าย้อนไปได้ก็อยากเลือกคบเพื่อนดีๆ ไม่เกเร รู้จักป้องกันตัว ไม่มักง่ายไม่เห็นแก่ตัว โชคยังดีที่พ่อกับแม่เอ็นดูแฟนและช่วยเลี้ยงลูกให้ ในระหว่างที่เขาเข้ามาอยู่ที่
ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก โดยมี ‘ครูธนา ผินกลับ' ช่วยดูแล และที่นี่เองทำให้เข้าใจว่าชีวิตที่มีค่าต่อสังคมและทางเดินชีวิตที่เหมาะสมควรจะเป็นอย่างไร

"อยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม ไม่ว่าจะเรื่องทำผู้หญิงท้องหรือเรื่องเกเร ได้เป็นข้อคิดเตือนใจกับใครหลายๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงคึกคะนอง ขาดสติ ซึ่งเมื่อเข้าได้รับรู้และเห็นผลที่จะตามมาแล้วจะได้ไม่เอาแบบอย่าง จะได้เป็นอนาคตที่ดีของชาติของสังคม"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook