ดูแลดวงตาให้ใสแจ๋ว

ดูแลดวงตาให้ใสแจ๋ว

ดูแลดวงตาให้ใสแจ๋ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ดวงตา เป็นอวัยวะที่มีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน และมีความสำคัญมากที่สุดของร่างกายอวัยวะหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นอวัยวะที่มีความบอบบางมาก และด้วยสภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ดวงตาของเราถูกใช้งานมากขึ้น และสัมผัสกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น ทั้งแสงอุลตร้าไวโอเลตจากแสงแดดจ้า แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยิ่งกระตุ้นให้สายตามีความเสื่อมเร็วกว่าปกติ จนนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพของดวงตาในที่สุด

เรามาดูสาเหตุความเสื่อมของดวงตา ว่าสามารถเกิดจากอะไรได้บ้าง
-แสงอุลตร้าไวโอเลต สำหรับคนที่ต้องทำงานกลางแจ้งแล้วต้องรับแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมาก ๆ โดยไม่มีอะไรป้องกัน

-ใช้สายตามาก จากการเรียน การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ของผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ

-การสูบบุหรี่ หรืออยู่ในบริเวณที่สูบบุหรี่ สามารถทำลายเยื่อบุตาได้

-การได้รับวิตามิน หรือสารอาหารบางชนิดไม่เพียงพอ
เพื่อเป็นการป้องกันการเสื่อมของดวงตาเราก่อนเวลาอันควร การได้รับสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น การรับประทานผักผลไม้หลายหลากสี หลากหลายชนิด จะช่วยบำรุงสายตาและป้องกันสายตาเสื่อมได้ จากการวิจัยก็พบว่ามีสารอาหารที่สำคัญที่ช่วยบำรุงสายตาเราได้ ดังนี้

1.เบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) เป็นสารอาหารที่พบมากในพืชผักที่มีสีส้มและเหลือง เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ แคนตาลูป มะละกอสุก แต่ผักสีเขียวบางชนิดก็มีเบต้าแคโรทีนเช่นกัน ได้แก่ บร็อคโคลี มะละ ผักบุ้ง ตำลึง คะน้า เป็นต้น

ร่างกายจะเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยการมองเห็นในที่มืด ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก รวมถึงช่วยให้ผิวเยื้อเมือกในตาชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย

2.ลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารธรรมชาติในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาโดยการลดอนุมูลอิสระทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับลูทีนจากอาหาร โดยเฉพาะจากพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ผักกาด ปวยเล้ง หรือผักที่มีสีเหลืองอย่าง พริกหยวกเสีเหลือง เป็นต้น

นอกจากนี้มีงานวิจัยยังพบว่า การรับประทานสารอาหารประเภทลูทีนให้ได้ถึงวันละ 6 มิลลิกรัม ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว


3.บิลเบอร์รี่สกัด (Bilberry Extract)
เป็นสารอาหารในกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันเลนส์ตา และสร้างความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนซึ่งเป็นโครงสร้างของคอร์เนีย (Cornea) และเส้นเลือดฝอยในตา ทำให้เส้นเลือดฝอยไม่เปราะแตกง่าย และป้องกันไม่ให้เซลล์ดวงตาขุ่นมัว สาเหตุของโรคต้อกระจก ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืด หรือที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้นอีกด้วย

สารอาหารทั้ง 3 ประเภท ที่กล่าวมานั้น หากเรารับประทานเป็นประจำ จะช่วยให้ชะลอความเสื่อมของดวงตา ลดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตา เพื่อความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอยในตา ไม่ทำให้ตาขุ่นมัว ป้องกันการเป็นต้อกระจก ป้องกันเบาหวานขึ้นตา อีกทั้งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา และช่วยให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น

หากเราต้องการถนอมดวงตาให้สดใสอยู่ใช้งานไปนาน ๆ ไม่เสื่อมก่อนเวลา แค่เลือกรับประทานอาหารบำรุงสุขภาพดวงตาแต่เพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ควรจะปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะควบคู่กันไปด้วย วิธีการเหล่านั้น ได้แก่
1.หลีกเลี่ยงการมองของที่มีสีขาว หรือวัตถุสะท้อนแสงมาก ๆ กลางแดด เป็นเวลานาน ๆ

2.สวมแว่นกันแดดทุกครั้ง หรือสวมหมวกทุกครั้งที่ต้องออกไปเจอแสงจ้า

3.อ่านหรือเขียนหนังสือ ในบริเวณที่มีแสงสว่างเพียงพอ

4.ตรวจวัดสายตาก หรือพบจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง

5.สำหรับคนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ควรนั่งห่างจากจอคอมพิวเตอร์ในระยะเหมาะสม ประมาณ 1 ฟุต 10 ซม. และหากมีการใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน ๆ ควรพักสายตาบ้าง และบริหารดวงตาควบคู่กันไป มีวิธีดังนี้

-กระพริบตา จะช่วยให้น้ำตาหล่อเลี้ยงได้ทั่วตา ช่วยลดการระคายเคืองตาได้

-ใช้ฝ่ามือกดตาเบา ๆ โดยวางฝ่ามือลงบนเปลือกตาที่ปิดสนิท กดเบา ๆ ประมาณ 1 นาทีแล้วปล่อย ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง จะรู้สึกสบายขึ้น

-มองไกลออกไปจากจอคอมพิวเตอร์ อย่างน้อย 6 เมตร โดยมองไปที่ต้นไม้ ใบหญ้า หรือวัตถุสีเขียว จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการปรับโฟกัสของเลนส์ตา

-กลอกตาเป็นวงกลม ให้มองไปรอบ ๆ กว้าง ๆ ตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ และทวนเข็มนาฬิกาอีก 3 รอบ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อตาที่ใช้ในการกรอกตาไปมา

ไม่อยากเลยใช่ไหม ลองนำไปปฏิบัติกันดู แค่นี้ก็มีดวงตาที่สดใส แจ่มแจ๋วกันแล้ว

Never-Age.com

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook