เปปไทด์ vs สิวอักเสบ

เปปไทด์ vs สิวอักเสบ

เปปไทด์ vs สิวอักเสบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สิวอักเสบ สาเหตุก่อให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิว

สิว (Acne) คือภาวะผิดปกติของผิวหนังที่พบได้บ่อยมาก ประมาณร้อยละ 80 ของประชากรต้องเคยเป็นสิวในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต สิวอาจมีลักษณะเป็นตุ่มไขมัน หรือไขมันอุดตัน ที่อาจมีการอักเสบร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ หากมีการอักเสบร่วมด้วย อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตามระดับของการอักเสบ

ปัญหาหลักชนิดหนึ่งที่เกิดจากสิวก็คือ ภาวะแผลเป็นจากสิว ร่องรอยหรือหลุมสิว เป็นที่ทราบกันดีว่า แบคทีเรียที่ชื่อ P. acne เป็นแบคทีเรียที่มักพบในคนที่เป็นสิว และแต่ละคนจะมีความไวต่อแบคทีเรียชนิดนี้ไม่เท่ากัน คนที่มีความไวต่อแบคทีเรียชนิดนี้มาก แบคทีเรียก็อาจก่อให้เกิดการอักเสบได้มากตามไปด้วย

การอักเสบของสิวไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเสมอไป แต่อาจเป็นภาวะอักเสบที่เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อ เช่น การบีบ หรือกดสิว

นอกจากนี้แม้เราจะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถลดการอักเสบ เนื่องจากกระบวนการอักเสบได้เกิดขึ้นไปแล้ว ดังนั้นในปัจจุบันการรักษาสิวนอกจากจะมุ่งกำจัดเชื้อแบคทีเรียแล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับการลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบสิวด้วย เพราะถ้าเราสามารถควบคุมกระบวนการอักเสบได้ก็จะทำให้ช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็น หรือหลุมสิวลงได้นั่นเอง

ยาปฏิชีวนะ vs สิวอักเสบ

การรักษาสิวอักเสบโดยการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อมุ่งทำลายเชื้อแบคทีเรีย แม้จะมีผลลดการอักเสบของสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้ แต่ก็ไม่มีผลในการลดกระบวนการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยาปฏิชีวนะมักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการดื้อยา และมักก่อให้เกิดรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวเนื่องจากเนื้อเยื่อถูกทำลาย เพราะการอักเสบไม่ได้ถูกทำให้บรรเทาลง

เปปไทด์ vs สิวอักเสบ

ปัจจุบันมีการพยายามค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ เพื่อนำมาใช้ในการทำลายเชื้อแบคทีเรียไปพร้อมกับออกฤทธิ์ลดการอักเสบ พบว่าสารเปปไทด์ (Peptide) จากเอนไซม์บางชนิด(1) เช่น

ไลโซไซม์ ซึ่งเป็นเปปไทด์ที่มีอยู่ในสารคัดหลั่งในร่างกายมนุษย์ สามารถออกฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียด้วยการทำให้เซลล์ของเชื้อแบคทีเรียแตกสลาย โดยการเจาะผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งยังพบว่ามีส่วนช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

Peptide vs Anti-Aging

เราได้พูดถึงการนำไลโซไซม์มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการอักเสบและการติดเชื้อไปแล้วนั้น ด้วยคุณสมบัติพิเศษ ไลโซไซม์ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารที่มีฤทธิ์ย่อยสลายโปรตีน จึงถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นจากสิว ปัจจุบันในต่างประเทศ มีการนำไลโซไซม์มาใช้ในผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย ลดรอยแผลเป็นอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก สารไลโซไซม์ มีราคาสูง และมีความซับซ้อนในแง่การผลิต จึงนิยมนำไปใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ลดริ้วรอย โดยมุ่งประโยชน์เป็นสารที่ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ (Anti-aging) และถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการตลาดที่สูง มากกว่าที่จะใช้แค่ในการลบรอยแผลเป็นจากสิว

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขระบุให้เครื่องสำอางทุกชนิดต้องระบุสารที่ใช้ในเครื่องสำอางบนฉลากชัดเจน

โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนั้นหากผู้บริโภคมีความเข้าใจ และสามารถสังเกตได้ว่า มีสารชนิดใดบ้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ตนเองใช้ ก็จะสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้มากยิ่งขึ้น

[1] www.research.ucla.edu/tech/ucla05-351.htm

 

ผศ.ดร.อัษฎางค์ พลนอก

ภาควิชาเทคโนโลยีเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก 65000

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook