ผลวิจัยแม่วัยใส มีเซ็กส์ครั้งแรกไม่ป้องกัน 33.9%
ผลวิจัยแม่วัยใส มีเซ็กส์ครั้งแรกไม่ป้องกัน 33.9% เกือบ 2 ใน 3 ไม่ตั้งใจให้ท้อง แต่พร้อมแตรียมตัวเป็นคุณแม่หลังได้กำลังใจจากคู่รัก พบเพื่อนคือคนที่คุยเรื่องเพศด้วยมากที่สุด สะท้อนมาตรการป้องกันยังไม่พอ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ นักวิชาการ-สสส. เสนอให้ความรู้เรื่องเพศอย่างลึกซึ้ง-รอบด้าน พร้อมจับมือ ก.ศึกษาธิการ พัฒนาหลักสูตรเพศศึกษา สอนจริงจังให้เยาวชนทุกคน
ศ.ดร.ศิริพร จิรวัฒน์กุล ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านเพศภาวะและสุขภาพสตรีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น (แม่วัยใส) โดยสำรวจหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่มารับบริการด้านสูตินรีเวช ในโรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลศูนย์ใน 7 จังหวัด อาทิ กำแพงเพชร นครราชสีมา สมุทรสงคราม สุราษฏร์ธานี ฯลฯ จำนวน 3,114 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ 64.9% มาตรวจหลังคลอด 28.2% และมีปัญหาจากการตั้งครรภ์ 6.9% พบข้อมูลที่น่าสนใจคือ แม่วัยใสส่วนใหญ่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี และตั้งครรภ์ที่อายุน้อยที่สุดคือ 11 ปี โดย 62.9% มีแฟนอายุมากกว่าตนเอง ผู้ชายที่เป็นคู่ของแม่วัยใสมีอายุระหว่าง 20-30 ปี ทั้งนี้ แม่วัยใสกลุ่มที่สำรวจ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมากที่สุด รองลงมาคือชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีจำนวนหนึ่งที่อยู่ในระดับประถมศึกษา ซึ่งการตั้งครรภ์ส่งผลให้แม่วัยใส 70.3% ต้องพักการเรียนหรือออกจากการเรียน
"แม่วัยใสมากถึง 33.9% ไม่คุมกำเนิดในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก ส่วนวิธีการคุมกำเนิดที่ใช้มากที่สุดคือถุงยางอนามัย 27.4% โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุด ส่วนภาคใต้ใช้ถุงยางอนามัยน้อยที่สุด รองลงมาคือใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน 18.5% และใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด 8.7% อย่างไรก็ตาม แม่วัยใสส่วนใหญ่ไม่ตั้งใจตั้งครรภ์ถึง 70% โดยแม่วัยใส 92.4% บอกให้แฟนทราบว่าตั้งครรภ์ และอีก 16.2% ต้องปกปิดการตั้งครรภ์กับผู้ปกครอง เพราะกลัวถูกตำหนิ อย่างไรก็ตาม หลังการตั้งครรภ์พบว่าแม่วัยใสส่วนใหญ่ได้รับกำลังใจจากคู่และเตรียมตัวเป็นแม่ของลูก โดยมีเพียง 10% ที่มีปัญหาว่าผู้ชายไม่รับผิดชอบต่อการตั้งครรภ์" ศ.ดร.ศิริพร กล่าว
ศ.ดร.ศิริพร กล่าวต่อว่า จากการสำรวจพบว่า แหล่งความรู้เรื่องเพศของแม่วัยใส หรือการพูดคุยปรึกษาเรื่องเพศ พบว่า เพื่อนหญิงคือแหล่งเรียนรู้เรื่องเพศมากที่สุด 69.4% รองลงมาคือ แฟน 69.1% หนังสือ เรียน 53.7% ครู 50.5% โทรทัศน์ 47.6% หนังสือทั่วไป 41.2% แม่ 35.5% เพื่อนผู้ชาย 35.8% และอินเตอร์เน็ต 29.9% สะท้อนให้เห็นว่า เด็กวัยรุ่นเมื่อมีปัญหามักจะเลือกปรึกษากับเพื่อน หรือค้นหาข้อมูล ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือ อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์
ศ.ดร.ศิริพร กล่าวว่า ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นยังไม่เพียงพอ การห้ามมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นไปได้ยาก เนื่องจากวัยรุ่นมีความคิดว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย และเห็นว่าการลักลอบมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องท้าทาย และปัจจัยยั่วยุรอบตัว ดังนั้นเด็กหรือวัยรุ่นหญิงไม่ว่าจะเป็นเด็กเที่ยวหรือเด็กเรียน ก็มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน โดยข้อเสนอแนะเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา คือ 1.ภาครัฐต้องเร่งผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ ให้สำเร็จ เพื่อให้ความรู้เรื่องเพศแก่เด็ก และการคุ้มครองและดูแลเด็กที่มีปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ที่เหมาะสม 2.สถาบันการศึกษาต้องสนับสนุนให้ครูทุกคนเป็นครูเพศศึกษาให้ความรู้ให้คำแนะนำกับเด็กนักเรียนได้ และ 3.หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประสานความร่วมมือในการทำงานทั้งเชิงนโยบาย การปฏิบัติงานของสหวิชาชีพ การเรียนการสอน การสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างความเท่าเทียมในความรับผิดชอบร่วมกันทั้งฝ่ายชายและหญิง
ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาท้องไม่พร้อมของวัยรุ่นมาตลอด ซึ่งในเร็วๆ นี้ สสส. ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ที่ห่วงใยในปัญหานี้ จะร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อเสนอภาครัฐให้ความสำคัญกับการสอนเพศศึกษาในโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันอาชีวะอย่างจริงจัง ตั้งเป้าให้มีการเรียนการสอนวิชาเพศศึกษาเป็น 1 วิชา ในแต่ละ 1 ช่วงชั้น (เรียนตลอด 3 ปีของช่วงชั้น เช่น ม.1-ม.3) เพื่อให้เยาวชนไทยมีความรู้เรื่องเพศศึกษาช่วยให้มีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย นอกจากนี้ สสส. ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ จัดโครงการประกวดแผนการเรียนการสอนเพศศึกษา มีโรงเรียนสนใจเสนอแผนการสอนเข้าประกวดมากกว่า 100 แผนซึ่งจะมีการพิจารณาตัดสินภายในเดือนก.พ. นี้ โดยแผนการสอนที่ชนะ ทางสพฐ. จะนำไปพัฒนาประกอบการเรียนการสอนในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ในปีการศึกษาหน้าที่จะถึงนี้ โดยเน้นการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาทั้งด้านกายภาพ และด้านความสัมพันธ์ระหว่างชาย และหญิง