เด็กอัจฉริยะ
วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ทำสิ่งไร้สาระต่างๆ เช่น ดูการ์ตูน เล่นเกม ได้ตลอดทั้งวันโดยไม่มีใครว่าอะไร แต่เด็กบางคนกลับเลือกที่จะเรียนภาษาต่างชาติหรือวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูงที่ผู้ใหญ่กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ยังไม่เข้าใจ
ประชากรราว 95 เปอร์เซ็นต์มี IQ (Intelligence Quotient) หรือค่าเชาว์บุคคลอยู่ที่ระหว่าง 70-130 ส่วนเด็กอัจฉริยะมี IQ สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานแม้ว่ายังอยู่ในเยาว์วัย ผู้ที่มี IQ เกินกว่า 136 ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มอัจฉริยะ แต่พวกเขาบางคนมี IQ สูงถึงระหว่าง 250-300 เลยทีเดียว
เด็กอัจฉริยะ (Child Prodigy) โดยทั่วไปหมายถึงเด็กวัยต่ำกว่า 12 ขวบที่มีความรู้ ความสามารถเหนือกว่าระดับเฉลี่ยของผู้ใหญ่ในสาขาวิชาใดๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ฯลฯ อย่างน้อย 1 สาขา
วิลเลี่ยม เจมส์ ไซดิส (William James Sidis) ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มี IQ สูงที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขามี IQ อยู่ระหว่าง 250-300 ขึ้นอยู่กับว่าใช้การทดสอบ IQ แบบไหน วิลเลี่ยมอ่านหนังสือพิมพ์ได้ตั้งแต่อายุเพียง 18 เดือน เมื่ออายุ 8 ขวบเขาสามารถพูดได้ 8 ภาษาคือ ละติน กรีซ ฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมัน ฮิบรู เติร์ก และอังกฤษ อีกทั้งยังคิดค้นภาษาใหม่ขึ้นมาโดยการผสมผสานตัวอักษรภาษาละติน กรีซ เยอรมัน และฝรั่งเศส เรียกว่าภาษา เวนเดอร์กู้ด (Vendergood)
ฉายแววตั้งแต่ทารก
ปลายศตวรรษที่ 19 บอริสและซาร่าฮ์ ไซดิส (Boris and Sarah Sidis) สองสามีภรรยา ได้อพยพลี้ภัยมายังประเทศอเมริกาเช่นเดียวกับชาวรัสเซียเชื้อสายยิวอีกจำนวนมาก เพียงไม่นานนักทั้งคู่ก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเนื่องจากบอริสเป็นหนึ่งในคนรุ่นแรกๆที่พัฒนาการศึกษาวิชาจิตวิทยาและซาร่าฮ์เป็นหนึ่งในผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่มีดีกรีปริญญาทางการแพทย์ในสมัยนั้น
บอริสเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมหาวิทยาลัยหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้งานเป็นศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา มีความเชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต จิตวิทยากลุ่มและการควบคุมความบ้าคลั่งของฝูงชน
ปี 1898 ซาราฮ์ให้กำเนิดบุตรชาย วิลเลี่ยม เจมส์ ไซดิส โดยบอริสและซาราฮ์ช่วยกันเลี้ยงดู สอนลูกให้รู้จักตัวอักษรและการผสมคำ เพียงแค่ 6 เดือนวิลเลี่ยมก็สามารถสะกดคำว่า door และเดือนต่อมาสามารถสะกดคำว่า moon เมื่ออายุเพียง 8 เดือน วิลเลี่ยมสามารถใช้ช้อนตักอาหารกินเองได้
ขณะที่เด็กวัย 1 ขวบส่วนใหญ่จะยังพูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษา แต่วิลเลี่ยมสามารถสะกดคำง่ายๆบางคำได้แล้ว ซาราฮ์เห็นพัฒนาการของลูกที่สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กทั่วไปมาก เธอจึงลาออกจากงานเพื่อเอาเวลามาสอนลูกของเธอให้เฉลียวฉลาดมากยิ่งขึ้น
ฝึกด้วยตัวเอง
เมื่อครบรอบวันเกิด 5 ขวบ วิลเลี่ยมลากเก้าอี้ตัวสูงขึ้นนั่งเคาะแป้นพิมพ์ดีดเขียนจดหมายสั่งซื้อของเล่นส่งถึงห้างสรรพสินค้าเมซี่ย์ด้วยตัวเอง และต่อมาเขาก็ขวนขวายเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆด้วยตัวเองโดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ เช่น ละติน กรีก ฝรั่งเศส รัสเซีย เยอรมัน และฮิบรู ก่อนจะถูกส่งตัวเข้าเรียนไวยากรณ์เมื่ออายุได้ 6 ขวบ
วิลเลี่ยมเรียนประถมฯต้นเพียง 6 เดือนก็ถูกย้ายไปเรียนชั้นมัธยมฯ การศึกษาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของเขาไปสะดุดตาสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์นำเรื่องราวของวิลเลี่ยม ไซดิส เด็กอัจฉริยะมาลงในคอลัมน์หลายต่อหลายครั้ง
บอริสและซาราฮ์ภาคภูมิใจกับความเฉลียวฉลาดของวิลเลี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาอยากรู้ก็คือพวกเขามีอิทธิพลต่อความเป็นอัจฉริยะของวิลเลี่ยมหรือไม่ หรือว่าวิลเลี่ยมสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวของเขาเอง
เมื่ออายุได้ 9 ปี บิดาพยายามส่งเขาเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หากแต่ถูกทางมหาวิทยาลัยปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเขายังเด็กเกินไป ยังขาดการพัฒนาการทางอารมณ์ที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แต่บอริสไม่ยอมแพ้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการบริหาร โน้มน้าวให้มหาวิทยาลัยยินยอมรับวิลเลี่ยมเข้าศึกษา
ใจอ่อนรับนักศึกษาเด็ก
ระหว่างรอคอยคำตอบรับของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิลเลี่ยมฆ่าเวลาด้วยการไปเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยทัฟต์ เปิดอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ มองหาข้อผิดพลาดในหนังสือและทำการแก้ไข ค้นหาข้อมูลทฤษฎีต่างๆที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เขียนและมองหาช่องโหว่ ในช่วงเวลานี้เองวิลเลี่ยมค้นพบความสามารถพิเศษของตัวเองอีกอย่างคือ เขาสามารถคำนวณในใจบอกได้ว่าวันที่นั้นๆของเดือนและปีนั้นๆเป็นวันอะไรได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นวันในอดีตหรือวันในอนาคต
ปี 1909 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพ่ายแพ้ต่อความเก่งกาจของเด็กมหัศจรรย์ยินยอมรับวิลเลี่ยมเข้าเป็นนักศึกษา ทำให้เขากลายเป็นนักศึกษาที่มีอายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เดือนมกราคม 1910 วิลเลี่ยมได้รับเชิญให้บรรยายเรื่องคณิตศาสตร์ 4 มิติ (Four-Dimension Bodies) ต่อหน้าผู้ทรงคุณวุฒิและนักศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ชั้นสูง ศาสตราจารย์เดเนียล คอมสต็อก จากมหาวิทยาลัย MIT ถึงกับทำนายว่าในอนาคตวิลเลี่ยมจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20
วิลเลี่ยมจบการศึกษาระดับปริญญาตรีโดยมีเกียรตินิยมพ่วงท้ายด้วยวัยเพียง 16 ปี เขาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บอสตันเฮราลด์ว่าเขาต้องการมีชีวิตสมบูรณ์แบบด้วยการใช้ชีวิตสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่แต่งงาน ขอครองพรหมจรรย์ไปตลอดชีวิต
ชีวิตสับสน
หลังจบการศึกษา วิลเลี่ยมได้งานเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยไรซ์ เมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส แต่วิลเลี่ยมสอนอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ลาออกเนื่องจากเขาถูกกดดันจากบรรดาลูกศิษย์ที่มีอายุมากกว่าหลายปี วิลเลี่ยมกลับมาลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แต่ก็ลาออกก่อนจะจบการศึกษาเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ภาควิชาที่เหมาะกับเขา
ปี 1919 วิลเลี่ยมเข้าร่วมชุมนุมประท้วงคัดค้านการเกณฑ์ทหาร การประท้วงครั้งนี้บานปลายเป็นการจลาจล วิลเลี่ยมถูกจับกุมตัว บอริสวิ่งเต้นช่วยลูกชายให้พ้นคุกภายใต้เงื่อนไขควบคุมความประพฤติและกักบริเวณเป็นเวลา 1 ปี
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ วิลเลี่ยมหลบหน้าหลบตาหนีผู้คนไปทำงานเป็นเสมียนตามร้านเล็กๆ เมื่อมีใครจำเขาได้ วิลเลี่ยมก็จะลาออกหนีไปหางานใหม่ แม้วิลเลี่ยมจะเอือมระอากับเรื่องตัวเลขแต่เขาก็ยังคงความหลงใหลในเรื่องภาษา วิลเลี่ยมเรียนรู้ภาษาอื่นๆรวมถึงภาษาท้องถิ่นจนแตกฉานมากถึง 40 ภาษา
บั้นปลายชีวิตของอดีตเด็กอัจฉริยะไม่ได้สุขสบายมีความสุข เขาเสียชีวิตแบบคนอนาถาตามลำพังในห้องเช่าในเมืองบอสตัน ด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1944
ที่มา "การศึกษาวันนี้"
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ silp@watta.co.th