รีวิว Dragon Ball Fighter Z สุดยอดเกมต่อสู้ที่มีฉากเหมือนกำลังชมการ์ตูน

รีวิว Dragon Ball Fighter Z สุดยอดเกมต่อสู้ที่มีฉากเหมือนกำลังชมการ์ตูน

รีวิว Dragon Ball Fighter Z สุดยอดเกมต่อสู้ที่มีฉากเหมือนกำลังชมการ์ตูน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Dragon Ball เป็นอีกหนึ่งการ์ตูนโชเน็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูงไปทั่วโลก หากพูดถึงเด็กยุค 80-90 แล้วไม่มีใครไม่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ หากเปรียบเทียบความโด่งดังแล้วเรียกว่าไม่แพ้การ์ตูนดังรุ่นน้องอย่าง Naruto หรือ One Piece เลยทีเดียว

Dragon Ball Supersonic Warriors จาก GBA ที่ถือว่าโครตมันส์ในยุคนั้น

ในวงการเกมก็เช่นกันครับ Dragon Ball ได้ออกวิดีโอเกมมาหลายภาค หลายรูปแบบ หลายชนิดเป็นอย่างมาก ลากยาวไปตั้งแต่ยุคเครื่อง Atari , Famicom มาจนถึงยุค Next-Gen อย่าง PS4,Xbox One โดยตัวเกมก็มีเกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแนว Turnbase, Card Battle, Role Playing Game, Fighting, Action Platfrom, จะขาดก็มีแต่แนว Racing ที่ผมยังไม่เคยเห็นเลยสักที

สาวก Dragon Ball ทุกคน น่าจะผ่านเกมนี้มาเกือบหมด

ในยุค Next Gen นี้ส่วนมากแล้วเราจะได้เล่นแนว Fighting กันซะเป็นส่วนใหญ่ และแน่นอนหากพูดถึงเกม Dragon Ball ที่ผมคิดว่าน่าจะคุ้นเคยกับเกมเมอร์บ้านเรามากที่สุด ก็น่าจะเป็น DragonBall Z – Budokai Tenkaichi 1-3 จากเครื่อง PS2 ที่ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองตามตู้หยอดเหรียญ 10 บาท ที่ถ้าไม่วินนิ่ง ก็ ดราก้อนบอลนี่ล่ะ ซึ่งตอนนี้อายุของเกมนี้ก็ปาเข้าไป 10 กว่าปีแล้ว

Xenoverse เกมที่เปิดโอกาสให้เราสร้างตัวละครเข้าไปในโลกของ Dragon Ball

และถัดมาในยุคที่คนเริ่มเล่นแผ่นแท้กันมากขึ้น และเข้าถึงระบบ Online Multiplayer การมาของ Dragon Ball Xenoverse ก็เปิดโลกใหม่ให้กับซีรี่ย์นี้ไปทันที ด้วยระบบการต่อสู้แบบภาค Budokai Tenkaichi และมีรูปแบบการเล่นคล้ายๆเกมอย่าง Monster Hunter อีกทั้งเรายังสามารถสร้างตัวละครของเราเองขึ้นมาสู้ และดำเนินเรื่องราวภายในเกมอีกด้วย ทำให้กระแสเกม Dragon Ball กลับมาแทบจะทันที ตัวเกมได้ออกภาคต่อมาในปี 2016 กวาดยอดขายและคะแนนรีวิวไปอย่างสวยงาม

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีผู้เล่นบางส่วนที่คิดถึงการเล่นเกม Fighting แบบเดิมๆอยู่ ด้วยการที่ภาค Xenoverse นั้นมีรูปแบบการเล่นแบบ Full 3D แต่สำหรับ Dragon Ball นั้นไม่ได้มีแต่เกม 3D อย่างเดียว เกม 2D หรือ 2.5D ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้างเช่น ซีรี่ย์ Budokai ในเครื่อง PS2 เป็นต้น

และในที่สุด Dragon Ball Fighter Z ก็ได้ทำให้ความฝันเป็นจริง กับเกม Fighting แบบ 2.5D ที่ได้ทีมงานจากผู้สร้าง GUILTY GEAR, BlazBlue (Arc System Works) มาสร้างโลก Dragon Ball ในแบบ 2.5D อีกครั้ง

หลังจากที่ได้เล่นมาก่อนมาเขียนบทความรีวิวในครั้งนี้ ผมอยากจะบอกว่าตัวเกมมัน โครต Dragon Ball เลยล่ะครับ Get Ready !

Dragon Ball Fighter Z เป็นเกมแนว Fighting 2.5D โดยมีพื้นฐานการเล่นแบบ Combo ง่ายๆ และการควงปุ่มไม่กี่ท่า เหมาะสำหรับผู้เล่นทุกคน ตัวเกมมีความง่ายมากๆ ชนิดที่ว่ามั่วๆ ปุ่มก็สามารถออกถ้า Combo รัวๆ ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตัวเกมก็ค่อนข้างจะใช้เทคนิคสูงอยู่มาก หากเล่นแบบจริงจังแล้วจะพบเลยว่า ตัวเกมค่อนข้างมีความสมดุลย์อยู่สูง สามารถนำไปแข่งขันอย่างจริงจังได้เลยทีเดียว

Lobby คือหน้า Main Menu ของผู้เล่น

ตัวเกมจะมีโหมดการเล่นตามมาตรฐานเกม Fighting ทั่วไปอย่างเช่นโหมด Arcade โหมดฝึกซ้อม โหมดเล่น Local Battle สำหรับเล่นกันที่บ้าน มี Replay และ Leaderboard ให้ดู และแน่นอนรวมไปถึงโหมดเนื้อเรื่อง Story Mode อีกด้วยครับ

โดยรวมแล้วสิ่งที่จะทำให้ผู้เล่นทั่วๆไปสนุกกับเกมแนวๆนี้ได้อย่างไม่เบื่อ ก็น่าจะเป็นโหมดเนื้อเรื่องนี่ล่ะ และสำหรับเจ้า Dragon Ball ภาคนี้ก็มีโหมดเนื้อเรื่องที่จัดว่าพอใช้ได้อยู่ในระดับนึง แต่ถ้าหากพูดถึงโหมดเนื้อเรื่องของเกม Dragon Ball แล้วผู้เล่นคงจะนึกถึงการเล่าเรื่องแบบเดียวกันในหนังสือการ์ตูน หรือใน Anime TV ใช่ไหมล่ะครับ แต่สำหรับ Dragon Ball Fighter Z นี้ตัวเกมจะเล่าเรื่องใหม่หมดเลยแบบ Original Story กันเลยล่ะ

 

เนื้อเรื่องสดใหม่ ติดตามได้ในเกมนี้

เนื้อเรื่องจะพูดถึงโลกในปัจจุบัน ที่อยู่ในภาค Super ขณะที่ทุกๆคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ปกติ มนุษย์ดัดแปลงหมายเลข 19 ที่ควรจะตายไปแล้วได้โผล่มาที่หาโกคู ที่บ้านบลูม่า ในสภาพสมบูรณ์แบบ และเข้าจะโจมตีโกคูด้วยเหตุผลบางอย่าง อีกทั้งตัวโกคูและเพื่อนๆเองนั้นจะเสียพลังในการต่อสู้ไปเกือบทั้งหมด แต่กลับมีร่างโคลนของตัวเองโผล่มา และการปรากฎตัวของตัวละครใหม่จากกองทัพ Red Ribbon ทั้งหมดสามารถไขปริศนานี้ได้ในโหมดเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ครับ

อีกหนึ่งความพิเศษของโหมดนี้คือ เมื่อเราเล่นจนจบเกมรอบหนึ่งแล้ว ตัวเกมก็จะปลดล็อค Act ใหม่ที่เป็นอีกหนึ่ง Timeline เข้ามา ทำให้เราจะได้เห็นเนื้อเรื่องใหม่ๆจากโครงเรื่องเดิมๆอีกด้วยครับผม

ตัวเกมจะแบ่งระบบการเล่นของโหมดเนื้อเรื่องออกไปเป็น 2 ฉาก ฉากแรกคือการต่อสู้แบบปกติ ฉากที่สองคือฉากการบังคับตัวละครผ่านกระดานให้เดินไปในสถานที่ต่างๆ โดยแต่ละสถานที่นั้นจะมีพวกเหล่าศัตรูคอยเฝ้าอยู่ ตัวเกมจะมีระบบ Level ตามตัวละครแต่ละตัวอีกด้วย และตัวเกมยังมีระบบ Skill พิเศษต่างๆที่จะเพิ่มค่าสถานะให้กับตัวละครเราครับ อีกทั้งเรายังสามารถแก้ไข จัดการทีมที่จะใช้ลงต่อสู้ในแต่ละฉากได้อีกด้วย

“ก่อนเข้า Boss Battle ก็จะมีฉากเนื้อเรื่องให้ดูแบบนี้”

จนมาถึงบอสตัวสุดท้ายของฉากนั้นๆ ตัวเกมก็จะตัดเข้าสู่ Boss Battle พร้อมกับมีการเล่าเรื่องเข้ามาก่อนการต่อสู้ และหลังจบการต่อสู้หากเราชนะก็จะผ่านฉากนั้นๆ และเข้าสู่ฉากใหม่ครับ โดยการเล่าเรื่องของเกมนี้มันจะเล่าจากการที่เราเล่นผ่านฉากนั้นๆ และเริ่มฉากใหม่นั้นเอง

ถึงแบบนั้นสำหรับผมแล้วโหมดเนื้อเรื่องในเกมนี้มีความยืดเยื้อมากจนเกินไป กว่าจะผ่านไปฉากใหม่ๆได้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเกมก็ยังมีระบบ Level และการจัดทีมคล้ายๆกับเกม RPG ทั่วๆไปเช่น Final Fantasy VI ที่มีการจัดทีมต่อสู้เช่นกันนั้นเองครับ

“มีเส้นทางให้เลือกว่าอยากเล่นสั้นๆ หรือยาวๆ”

ต่อมากับระบบ Arcade ถือว่าเป็นระบบที่ต้องอยู่คู่เกม Fighting ทุกๆเกมเลยก็ว่าได้ สำหรับใน Dragon Ball Fighter Z นั้นก็ยังมีระบบ Arcade เหมือนกับเกม Fighting 2.5D อื่นๆทั่วๆไปทุกเกม แต่จะแตกต่างตรงที่ว่าเราสามารถเลือกความสั้น ยาว ในแต่ละการเล่นแต่ละครั้งได้ครับ และเมื่อเล่นจบ ตัวเกมก็จะปลดล็อค Hard Mode มาให้เราเล่นกันอีกด้วย

อีกหนึ่งโหมดหลักที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ อย่างโหมด Online ที่ก่อนอื่นต้องชมก่อนว่าตัวเกมได้มีความลื่นไหลในการเล่นเป็นอย่างดีมากๆ การออกแบบ Netcode ที่ทำมาดี ไม่มีอาการกระตุก หรือ ดีเลย์โผล่มาให้เห็นเลยสักเท่าไร แม้ว่าจะเล่นกับคู่ต่อสู้ที่อยู่ต่างทวีปกับเราก็ตาม

ตัวเกมจะแบ่งโซนของผู้เล่นออกไปตามที่ผู้เล่นเลือกในตอนต้นเกม ไม่ว่าจะเป็นทั้งญี่ปุ่น เอเชีย จีน ไต๊หวัน อเมริกา ยุโรป และอื่นๆอีกมากมาย โดยในแต่ละโซนก็จะมี Lobby เป็นของตัวเอง ซึ่งใน Lobby พวกนี้ล่ะจะเป็น Main Menu ของผู้เล่นเอง ใน Lobby นี้ผู้เล่นจะสามารถนัดเจอกับเพื่อนๆที่อยู่โซนเดียวกัน Lobby เดียวกันได้ ทักทายกันได้ และสามารถสร้างห้องต่อสู้แบบ Custom Match ได้ทั้ง Private และ Public

รอฉันรอเธออยู่

และแน่นอนว่าการจับคู่ต่อสู้ Matchmaking แบบ Online ก็เช่นกัน ที่ตัวเกมจะสุ่มเอาผู้เล่นที่อยู่ใน Lobby โซนเดียวกันมาเจอกัน ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นข้อเสีย เพราะมันจะทำให้การจับคู่ถูกจำกัดไว้แค่ขนาดเล็กๆ จะแตกต่างกับเกมอย่าง Street Fighter, Tekken ที่จะค้นหาตั้งแต่พื้นที่ใกล้ๆ ไปอย่างพื้นที่ไกลๆเลยทีเดียว

Round 1 Fight !

มาพูดถึงระบบต่อสู้ที่เป็น Gameplay หลักๆของเกมนี้กันบ้างครับ อย่างที่ผมได้บอกไปในตอนแรกว่า ตัวเกมมันเล่นง่ายมากๆ ทำให้เข้าถึงคนได้ง่าย และด้วยความที่มันเป็น Dragon Ball ก็ยิ่งทำให้ตัวเกมมีความสนุกในการออกท่าต่อ Combo กันอย่างมันส์ในฉาก แต่ถึงอย่างนั้น หากลองจับเอาผู้เล่นระดับ Pro มาปะทะกัน ก็จะเกิดการต่อสู้แบบมีเทคนิคชั้นสูงเข้ามา ทำให้ดูสนุก และสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันรายการใหญ่ๆได้เลย

ตัวเกมจะเป็นการต่อสู้แบบ 3 V 3 โดยผู้เล่นสามารถกดสลับเปลี่ยนตัวละครไปมาระหว่างการต่อสู้ได้ตลอด รวมไปถึงสามารถเรียกให้เพื่อนออกมาช่วยด้วยท่า Assist ได้คล้ายๆเกมอย่าง Marvel VS Capcom และเมื่อหากมีการ Knokout ขึ้นมา ผู้เล่นที่ใช้ตัวละครเดิมอยู่จะต้องใช้ตัวละครตัวเดิมต่อสู้กับ ตัวละครตัวใหม่ของฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ไปเรื่อยๆจนจบ Match ครับ โดยที่ใครสามารถ Knokout ได้ 3 ตัวก่อน ก็จะถือว่าเป็นฝ่ายชนะทันที

ด้วยการที่ตัวเกมมีรูปแบบเป็น 2.5D ทำให้การออกท่าต่อ Combo ของเกมนี้จะให้ความรู้สึกคล้ายๆกับเกมอย่าง Street Fighter, The King of Fighter เสียมากกว่า ด้วยการที่ตัวเกมมี Hitbox ที่ชัดเจน และการควงท่าที่ถูกออกแบบมาให้กดได้ง่าย เหมาะสำหรับการทำ Combo แบบต่อเนื่อง ตามฉบับเกม Fighting 2.5D ทั่วๆไปครับ แต่เสริมความเป็น Dragon Ball เข้าไป ทำให้มีความรู้สึกเหมือนได้ดูฉากการต่อสู้แบบใน Anime เลยล่ะ

ในฉากการต่อสู้นั้น ด้วยการที่มันเป็น Dragon Ball หลายๆคนอาจจะคิดว่าตัวเกมมันอาจจะเร็วไป ทำให้ไม่ได้ใช้ฝีมือกันสักเท่าไร มั่วๆปุ่มเอาก็มันส์แล้ว แต่ความเป็นจริงนั้นไม่เลยครับ ตัวเกมมี Speed ที่กำลังดี ตอบสนองกับตัวผู้เล่นได้ดีมากๆ และยังใช้ฝีมือในการเล่นอยู่มาก ถึงแม้ว่ามันจะเล่นได้ง่าย แต่ก็ยากที่จะเล่นให้เก่งได้นั้นเองครับผม

ในส่วนของตัวละคร ในภาคนี้มีตัวละครให้เลือกไม่เยอะมากครับ โดยจะมีทั้งหมด 23 ตัว และยังไม่รวม DLC ที่จะเพิ่มเข้ามาอีกในอนาคต ส่วนมากแล้วตัวหลักๆก็จะมีมาครบ ในส่วนของตัวร้ายก็จะมีมาครบเช่นกัน อีกทั้งยังมีตัวละครใหม่อย่าง เทพเจ้าการทำลายล้างบิล โกคู แบล็ค และ ฮิตโตะ จาก Dragon Ball Super อีกด้วยครับ

และแน่นอนว่าคำถามต่อมาคือตัวเกมนั้นมีความสมดุลย์แค่ไหน หากยังจำกันได้ใน Dragon Ball ภาคเก่าๆอย่างเช่น Budokai Tenkaichi 3 ที่ตัวละครสุดห่วยอย่าง มิสเตอร์ซาตาน เจาซึ อาราเร่ ที่เหมือนจะเอาฮาเสียมากกว่า เพราะไม่สามารถสู้ใครเขาได้เท่าไรเลยแม้แต่น้อย

แต่สำหรับใน Dragon Ball Fighter Z นั้นต้องบอกว่าตัวเกมค่อนข้างมีความสมดุลย์อยู่มาก อย่างเช่นตัวละครอย่างยามูชา ที่โดนคนล้อกัน ในเกมนี้มันคือสุดยอดตัวละครที่โดดเด่นมากในการต่อสู้ระยะประชิด สามารถจัดการกับโกคูบลู ได้อย่างสบายๆหากไม่ระวังครับ ถือว่าการเลือกตัวละครในเกมนี้นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบอย่างเดียวล้วนๆ เพราะแต่ละตัวจะมีจุดเด่น จุดด้อยที่ไม่เหมือนกัน แต่ความเก่งเท่ากันแน่นอนครับผม

Round 2 Graphic Performance

ในตอนที่เกมนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกได้ลั่นประกาศออกมาเลยว่า ตัวเกมจะลงให้กับ PS4, Xbox One และ PC และนั้นทำให้ผมรู้สึกว้าวทันที เมื่อถึงเวลาจำหน่ายจีงไม่รอช้าที่จะจัดใน Steam มาเล่นอย่างไม่ต้องคิด และก็พบว่าตัวเกมมันมี Performance ที่ค่อนข้างดีเยี่ยมอยู่เลยล่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น สเป็คคอมพิวเตอร์ที่ผมใช้ค่อนข้างสูง แต่ผมได้ลองทำการโหลดเอาไปเล่นใน Notebook ธรรมดาๆ ก็ยังพบว่ามันเล่นได้ลื่นไหลอยู่เช่นกันครับ

 

เมื่อคุณปรับภาพไว้ต่ำสุดก็จะกลายเป็นแบบนี้

ตัวเกมขับเคลื่อนด้วย Unreal Engine 4 สุดยอด Engine ที่ผมยกให้ว่าห่วยสุดแห่งปี มันก็กลับทำหน้าที่ได้ดีครับ (รอดตัวไปนะ) ในส่วนของ Graphic Setting นั้นเรียกได้ว่าจัดเต็มเลยทีเดียว โดยที่ถ้าหากผู้เล่นปรับ Graphic ไว้ต่ำสุด ตัวเกมก็จะกลายไปเป็นเกมแบบสมัยก่อน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าทีมงานจงใจให้มันเป็นแบบนี้ หรือว่าเป็นไปตาม Engine กันแน่

นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติมาก เพราะตัวเกมก็รองรับการปรับเปลี่ยนปุ่ม หรือ Button Mapping เช่นกันครับ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ขึ้นโชว์ใน Interface ก็เถอะ ทำให้เราสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดเล่นเกมนี้ได้อย่างสบายไร้ปัญหา

Final Round

โดยรวมแล้ว Dragon Ball Fighter Z เป็นอีกหนึ่งเกมที่ดี เหมาะสำหรับทุกๆคน และเหมาะสุดๆสำหรับแฟนๆ Dragon Ball ที่ห้ามพลาดครับ ยิ่งไปกว่านั้นคือตัวเกมค่อนข้างจริงจังในโหมด Online มากๆ และการเล่นแบบแข่งขันมากๆ สามารถสู้กับเกมใหญ่ๆอย่าง Street Fighter ได้เลย แต่ถึงแบบนั้นหลายๆคนก็ยังจะติดภาพลักษณ์เก่าๆ ของเกม Dragon ball ที่จะออกแนวต่อสู้รัวปุ่มแบบนั้นก็ซะเป็นส่วนใหญ่

และด้วยการที่ตัวเกมค่อนข้างจริงจังกับระบบ Online มาก แต่ไอ่ระบบ Lobby นี่ก็สร้างปัญหาไม่น้อยเช่นกัน เพราะมันจะมาขัดระบบการจับคู่นี่ล่ะครับ ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะว่าผมเล่นในเวอร์ชั่น PC จำนวนคนก็อาจจะไม่เยอะเท่า PS4, Xbox One นอกจากนั้นแล้วหลาๆคนอาจจะสงสัยว่า แล้วแบบนี้เกมนี้มันบังคับ Online ตลอดเวลาหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ นะครับ เพราะถ้าหากผู้เล่นเข้าเกมแบบไม่มีอินเตอร์เน็ต ผู้เล่นก็สามารถเข้าไปเล่นโหมด Offline ได้ตามปกติ แต่จะเล่น Online ไม่ได้เท่านั้นเอง

ปัญหาสุดท้ายคือ ผมคิดว่าตัวเกมมีราคาสูงเกินไปมากๆ ด้วยราคา 1700 บาทใน Steam ผมคิดว่ามันราคาสูงเกินไปสักนิด สำหรับเกม Fighting 2.5D ถึงแม้ว่าจะเอาชื่อ Dragon Ball มาแปะก็เถอะ ถ้านำเอา Content แต่ละอย่างในเกม มาเปรียบเทียบกับเกม Fighting ราคาใกล้ๆกัน หรือที่วางจำหน่ายใกล้ๆ กันแล้ว ราคามันสูงเกินไปมากครับ

สุดท้ายแล้ว Dragon Ball Fighter Z ก็เป็นเกมที่ดีครับ สามารถหามาเล่นได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว ตัวเกมมีความสนุก เล่นง่าย เข้าถึงทุกเพศทุกไว มีความเป็น Dragon Ball สูงมากๆ ใครที่รักและชื่นชอบ Dragon Ball ต้องบอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาดครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook