รีวิวเกม Dynasty Warriors 9 ดีอย่าง เสียอย่าง รอภาค 10 น่าจะลงตัว
Dynasty Warriors 9 ได้เปลี่ยนจากเกมแนวฟันแหลก หรือ มุโซว ที่เน้นการต่อคอมโบ เล่นแบบไม่ต้องคิดอะไรมากลุยเอามัน มาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเป็นเกมโลกเปิด หรือ โอเพ่นเวิลด์ ตามสมัยนิยม ที่เกมระดับ AAA มักจะเป็นกัน ซึ่งคงเป็นสิ่งที่คอเกมหวังว่ามันจะทำให้เนื้อหาของสามก๊กนั้นถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างอลังการสุด ๆ แล้วจะสมความคาดหวัง กับการรอคอย ที่สำคัญกับราคาสุดแพงตามสไตลืเกมญี่ปุ่นที่ราคาไม่ค่อยลงหรือไม่ เรามาดูกันครับ
ต้องเกริ่นก่อนว่าผู้รีวิวเองก็ไม่ใช่แฟนซีรีส์นี้เป็นพิเศษนัก เคยเล่นภาคเก่า ๆ มาบ้างแต่ก็ไม่ได้ตามทุกภาค จึงจะรีวิวโดยยึดเปรียบเทียบการเป็นเกมโอเพ่นเวิลด์สมัยใหม่มากกว่าเปรียบเทียบกับตัวเกมภาคเก่า ๆ เอง ดังนั้นจะมองในแง่ของคนที่เล่นซีรีส์นี้เป็นครั้งแรกก็ได้ว่าได้ครับ
เริ่มเกมมาเราสามารถเลือกได้ว่าจะปรับแต่งการแสดงภาษาอย่างไร จากที่ลองฟังมาหลาย ๆ ภาษาแนะนำให้เลือกเสียงพูดเป็นญี่ปุ่นหรือจีนไปเลย ได้อารมณ์กว่าอังกฤษมากครับ ส่วนตัวซับนั้นน่าเสียดายที่ไม่มีภาษาไทย ก็เลือกซับอังกฤษตามระเบียบครับ นี่ถ้ามีภาษาไทยคงดีมากเพราะตัวเกมปรับมาเล่าเรื่องแบบอิงตัวหนังสือสามก๊กมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าเป็นผู้เล่นสายอ่านบทสนทนาและชอบดุคัทซีนก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ไปได้ในตัวเลยทีเดียว
ในภาคนี้จะเน้นการเล่นโหมดผู้เล่นเดี่ยวอย่างเดียว ดังนั้นในการเล่นเนื้อเรื่อง เราจะได้เลือกตัวละครตั้งต้น 1 ใน 3 ตัว ได้แก่ เล่าปี่ โจโฉ และซุนกวน หรือก็คือผู้นำในอนาคตของแต่ละก๊กนั่นเอง ทั้งนี้เนื้อหาจะเริ่มตั้งแต่ต้นหนังสือหรือช่วงกบฏโจรโพกผ้าเหลืองเลย โดยเราจะได้เล่นไปตามเนื้อเรื่องของแต่ละตัวละครเรื่อยไปจนจบเกม ถ้าเนื้อเรื่องไปถึงช่วงตัวละครไหน ก็จะเป็นการปลดล็อกตัวละครโดยอัตโนมัติด้วย เช่นถ้าเล่นเล่าปี่ ก็ต้องเล่นจนถึงฉากร่วมสาบานที่สวนท้อจึงจะปลดล็อกตัวละครพี่น้องร่วมสาบานอย่าง กวนอู และเตียวหุยได้ ซึ่งทั้งนี้จะไม่มีการสับหรือเปลี่ยนไปเล่นตัวละครอื่นเลยตลอดเนื้อเรื่อง ถ้าอยากไปเล่นตัวอื่นก็ต้องยอมเริ่มเล่นใหม่อย่างเดียวครับ แต่ก็จะได้เล่นเนื้อเรื่องและเควสเฉพาะของตัวละครแต่ละตัวด้วย ใครชอบสะสมตัวละครและเนื้อหายาว ๆ ก็น่าจะคุ้มมากครับ เพราะตัวละครมีมากกว่า 90 ตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าเกิดเล่นตัวละครไหนมาไกล ๆ แล้วรู้สึกไม่สนุกนี่ก็คือนรกชัด ๆ เลยครับ
ซึ่งไอ้ความจะสนุกหรือไม่สนุกนี้ ก็ต้องว่าด้วยการผสมผสาน 2 สไตล์เกม คือ แนวมุโซว และแนวโอเพ่นเวิลด์ นี่ล่ะครับ
แนวมุโซว ขอพูดถึงในแง่การควบคุม และเกมเพลย์ส่วนแอคชันแล้วกันครับ เข้าใจว่าเกมได้ปรับวิธีการใช้ท่าพิเศษจากการรัวปุ่มในภาคเก่า ๆ มาใช้การกดปุ่ม R1 แล้วตามด้วยปุ่มอื่น ๆ เพื่อใช้ท่าที่แตกต่างกัน ทั้งนี้นอกจากตัวละครแต่ละตัวจะมีท่าที่แตกต่างกันแล้ว การใช้อาวุธแต่ละประเภทเช่น ดาบ กระบี่ หรืออื่น ๆ ก็ยังทำให้ได้ท่าการฟันที่แตกต่างกันด้วย แต่พูดตรง ๆ คือการต่อคอมโบจากการกดปุ่มพิเศษแทนการรัวทำให้ความลื่นไหลและความมันในการฟันแหลกมันลดลงไป ความน่าสนใจในการลองอาวุธแต่ละประเภทก็น่าตื่นเต้นแค่ช่วงแรก แต่อาวุธไหน ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกสร้างความน่าสนใจในระยะยาวได้อยู่ดี คือดู ๆ ไปก็ฟันแหลกเหมือน ๆ กันไปหมดอยู่ดี ส่วนจำนวนศัตรูที่มีให้ฟันด้วยความที่แผนที่กว้างแบบโอเพ่นเวิลด์ ทำให้ส่วนใหญ่จะเจอแค่ทหารหมู่เดียวหรือกองเดียวฟันยังไม่ทันมันก็ตายหมดแล้ว ต้องเข้าเมืองใหญ่ที่จะมีจำนวนมากพอให้ฟันสนุกหน่อย แต่บางทีภารกิจในเมืองก็เป็นการลอบเร้นหลบหน่วยสอดแนม ทำให้ไม่ได้เจอทหารเท่าไหร่อีก ใครสายฟันดะน่าจะมีหงุดหงิดกับจังหวะประหลาด ๆ ในการเจอทหารศัตรูทีละนิด ๆ นี่ล่ะครับ
แนวโอเพ่นเวิลด์ เกมออกแบบแผนที่มาใหญ่โตมากมีทั้งป่า ภูเขา หมู่บ้าน เมือง ค่ายทหาร แม่น้ำ สภาพภูมิอากาศที่มีทั้งกลางวัน กลางคืน แดดออก ฝนตก แต่เล่นไปสักระยะก็จะพบว่ามันเหมือน ๆ กันหมดล่ะครับ ความสนุกในการเจอภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคใหม่ ๆ หมดสิ้นไปกับการที่เราสามารถวิ่งหรือควบม้าไปได้มันแทบทุกที่เลยแบบเส้นตรงเลยด้วยนะ นอกจากนั้นการตกจากที่สูงยังไม่มีเอฟเฟกต์ร้ายแรงอะไรอีก ส่วนที่สูงทั้งหอคอยกำแพงอะไรก็ใช้ปุ่ม R1 กดยิงเชือกปีนขึ้นไปแบบไม่ต้องคิดไรมาก ทำให้แผนที่ทั้งหมดสามารถพุ่งข้ามไปเป็นเส้นตรงได้เลย ทางด้านบ้านเมืองผู้คนก็เหมือน ๆ กันไปหมด ไม่มีกิจวัตรหรือดีไซน์ที่ชวนให้รู้สึกว่าสมจริง สิงสาราสัตว์รายทาง หรือทหารก๊กต่าง ๆ ก็ไม่ได้ต่างกันหนักอะไรดูเหมือน ๆ กันหมด การสำรวจเปิดแผนที่เลยเป็นสิ่งที่ทำ ๆ ไปให้ครบ ๆ ไปตามเนื้อเรื่องมากกว่าความตื่นตาตื่นใจอยากรู้อยากเห็นที่ใหม่ ๆ ครับ
อ่ออีกอย่างคือการเล่นเป็นไปตามเนื้อเรื่องดังนั้นมันจะโดด ๆ เมืองไปมานิดหนึ่งเช่นแทนที่จะไล่เปิดแผนที่ไปจากเมืองนี้ไปรอบ ๆ บางทีเราต้องข้ามทางยาวไปตามเนื้อเรื่องอีกเมือง แล้วกลับมาขยายแผนที่ทีหลัง ทำให้รุ้สึกแผนที่มันจะถูกเปิดแบบประหลาด ๆ ข้ามไปมานิด ๆ และแม้ว่าจะมีระบบเลเวลมาให้ได้ลุ้นเวลาเจอพวกศัตรูที่เลเวลต่างกันมาก ๆ อยู่บ้างก็เถอะ แต่สไตล์การสู้มันก็เหมือน ๆ เดิม ต้องไปเน้นการเพิ่มค่าพลังกาย พลังอุปกรณ์อาวุธด้านต่าง ๆ และเพิ่มเลเวลตัวละครมากกว่า ทั้งนี้จุดที่เห็นชัดคือการที่เกมไม่มีระบบสเตลท์แบบพวกโอเพ่นเวิลด์ ทำให้กลยุทธฝ่าค่ายมีอย่างเดียวคือเข้าตี ถึงเกมจะใส่โหมดยิงธนูมาให้แต่บอกเลยว่าไม่รู้จะเอามาทำไมยิงยากแถมเข้าไปฟันเลยยังจะมีประสิทธิภาพมากกว่าอีก ดังนี้ความสนุกมันก็ค่อย ๆ หมดไปเมื่อผ่านไปค่ายสองค่ายเมืองสองเมืองครับ
เมื่อผสมกัน ก็กลายเป็นความไม่สมประกอบ เพราะเกมยังไม่สามารถดึงจุดเด่นของสไตล์การเล่นทั้งสองแบบมาร่วมกันได้อย่างลงตัว รายละเอียดที่เยอะอย่างการอัปสกิล หรือตกแต่งอาวุธ เครื่องแต่งกาย ก็หาความสนุกในการต้องไปเล่นเควสต่าง ๆ มาอัปได้น้อย เพราะสะสมเงินมาซื้อเอาจะคุ้มกว่าเสียเวลากับภารกิจรองเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ปราบโจรปราบสัตว์ร้าย ตกปลาล่าสัตว์ บลา ๆ ไม่กี่อย่าง ทั้งพวกบทคัทซีนเควสรองก็น่าเบื่อไม่ได้ชวนติดตามอะไรเลย (ส่วนหนึ่งมาจากกราฟิกและโมชั่นตัวละครที่อนาถอย่างหนัก แม้ดีไซน์มาจะดูดีก็เถอะ) เหมือนผู้พัฒนาแค่เอาด่านต่าง ๆ ในภาคเก่า ๆ มาเชื่อมกันด้วยภูมิประเทศกว้าง ๆ กลวง ๆ (ซึ่งทำให้เห็นการโหลดเท็กเจอร์และฉากในบางครั้ง และเฟรมเรตที่ร่วงอยู่เหมือนกัน) แล้วก็เอามาใส่เควสหลักเนื้อเรื่องตามประวัติศาสตร์ของตัวละคร กับเควสรองภารกิจซ้ำ ๆ มา แล้วบอกว่านี่คือโอเพ่นเวิลด์ ด้วยความน่าเบื่อในการเล่นอะไรเดิม ๆ ดังนั้นแม้จะเปลี่ยนตัวละครก็ไม่ได้ทำให้เกมเพลย์สนุกขึ้น แล้วยิ่งการที่ต้องเริ่มใหม่หมดเมื่อจะเปลี่ยนตัวเล่นก็ไม่ได้ชวนให้รู้สึกอยากเล่นเลยด้วย
สรุป ด้วยความมีของเยอะแต่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำให้เล่น ๆ แล้วเผลอจะหลับเสียมากกว่า แต่ถ้ามองในแง่ความคุ้มก็ต้องบอกเกมเล่นกันได้ยาว ๆ แบบเปลี่ยนตัวละครเล่นใหม่ 90 กว่าตัวละคร เนื้อเรื่องเฉพาะของแต่ละตัวอีก คือถ้าชอบความคุ้มแบบนี้ นี่ก็โคตรคุ้มเลย เอาไปเล่นได้เป็นปี แต่ถ้าคุณเป็นพวกสายดองเกม อยากลองโอเพ่นเวิลด์แบบมุโซวก็บอกเลยว่าอาจจะต้องรอภาคต่อ ๆ ไปให้ทางทีมงานตกผลึกมากกว่านี้ก่อนครับ