รีวิว Jump Force สรรพสิ่งตระการตา ไม่อาจปิดบังปัญหาที่มี

รีวิว Jump Force สรรพสิ่งตระการตา ไม่อาจปิดบังปัญหาที่มี

รีวิว Jump Force สรรพสิ่งตระการตา ไม่อาจปิดบังปัญหาที่มี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Jump Force เกมแนวไฟท์ติ้งรวมดาวตัวละครจากนิตยสารโชเน็นจัมป์ที่อาจกล่าวได้ว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของนิตยสารดังกล่าวนี้ ผู้เขียนเชื่อเลยว่าตัวเกมได้สะกดสายตาเกมเมอร์และแฟนมังงะ/อนิเมะทั้งหลายในแรกเห็นด้วยความสวยงามด้านกราฟิก โมเดลตัวละครที่ดูมีชีวิต และเอฟเฟกต์แสดงผลสุดทรงพลัง

แต่แน่นอนว่าในหนึ่งผลงานเกม องค์ประกอบเพียงด้านเดียว ไม่สามารถนำมาใช้ตัดสินใจได้ว่าเกมใดสมบูรณ์แบบไร้ที่ติหรือมีตำหนิที่สรรค์หาจุดชมเชยมิได้ ฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่าองค์ประกอบทั้งหมดที่หลอมรวมออกมาเป็น Jump Force นั้น จะเป็นเช่นไรบ้างผ่านบทความรีวิวนี้

เนื้อเรื่องที่มีหน้าที่ไว้แค่เตือนว่าตัวเกมมีบางสิ่งที่เป็นหลักเป็นแหล่ง

เมื่อโลกแห่งความจริงและโลกของเหล่าฮีโร่จากมังงะทั้งหลายในชื่อ Jump (จั้มป์) ได้ถูกองค์กรร้ายนาม Venom (เวน่อม) บุกรุกเพื่อพยายามหลอมหลวมให้โลกทั้งสองเข้ากันด้วยจุดประสงค์บางอย่าง “คุณ” ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการจู่โจมขององคก์กรดังกล่าวแต่กลับถูกปลุกพลังฮีโร่ในตัวขึ้น จึงจำต้องร่วมมือกับหลากหลายฮีโร่จากโลกมังงะทั้งหลายเพื่อต่อกรและนำความปกติสุขกลับคืนมาในชื่อของกลุ่มกองกำลัง “Jump Force”

ปกติผู้เขียนไม่มีนโยบายรีวิวแบบตบหัวแล้วลูบหลัง (ด่าก่อนแล้วค่อยชม) แต่สำหรับ Jump Force แล้ว ต้องขอเว้นไว้สักเกมละกันนะครับ คือสิ่งที่พิมพ์ต่อไปจากนี้ไม่รู้ว่าจะรุนแรงไปไหมนะ แต่ด้านเนื้อเรื่องของเกมนี้ถ้าให้ว่ากันตรง ๆ มันเหมือนมีไว้เพื่อเป็นเสาให้คลำจับเพื่อให้คนเล่นรู้สึกว่าอย่างน้อย ๆ ตัวเกมก็มีจุดประสงค์ในการเล่นนอกเหนือจากโหมดการเล่นอื่นอยู่บ้าง แต่ถ้าจะให้กล่าวถึงเนื้อเรื่องแล้วละก็ “เกมนี้สอบตกอย่างแรง” 

นี่ไงไลท์ ยางามิกับลุค (ที่ก็แน่นอนว่าเลือกเล่นไม่ได้ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้คนอื่นเขา ฮ่าๆ)

เพราะไม่ว่าจะทั้งการบอกเล่าเรื่องราว ที่ตัวเกมก็ไม่ได้ใส่การไล่น้ำหนักได้ออกมามีความน่าสนใจสักเท่าไหร่ แต่กลับเป็นการดำเนินไปเรื่อย ๆ แถมเชื่องช้าเอามาก ๆ หรือแม้แต่วิธีการนำเสนอเรื่องราวก็เป็นเพียงแค่การรับภารกิจและต่อสู้ให้จบเพื่อรอพบกับฉากดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปที่มาในรูปแบบของคัทซีน หรือจะรูปแบบบทสนทนา ที่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเสียงของนักพากย์ตัวละครนั้น ๆ มาส่งเสริมให้เข้าถึงอารมณ์ตัวละครหรือว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในทุกครั้ง (จะเจอเฉพาะฉากที่มันสำคัญจริง ๆ, คัทซีน และก็ในตอนต่อสู้)

แต่เอาเข้าจริง ๆ เกมเมอร์หลายคนน่าจะล่วงรู้และคาดเดากันได้แต่เนิ่น ๆ แล้วว่า Jump Force ไม่ใช่เกมเน้นเนื้อเรื่อง ฉะนั้นอย่าให้ความคิดเห็นในส่วนนี้ของผู้เขียนไปละแคะละคายอารมณ์เอ็นจอยในพาร์ตการเล่นของเกมเลยล่ะกันครับ (แต่ทั้งนี้ก็ต้องเข้าใจมุมของผู้เขียนนิดนึงว่าตัวเกมเองเลือกที่จะนำเสนอส่วนนี้เป็นหลัก ผู้เขียนเลยต้องว่าไปตามเนื้อผ้า ถ้ามองข้ามทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเกมต้องการนำเสนอเป็นหลักมันก็ดูจะไม่แฟร์กับเกมอื่น ๆ ที่เข้าเน้นด้านนี้เช่นเดียวกันนะ)

โมเดลตัวละครและเอฟเฟกต์ต่อสู้อลังการจัดเต็ม!

สวยไม่สวย ให้ดูที่ดูเกราะของเซนต์เซย่า!

นี่อาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจเมื่อได้เห็น Jump Force เป็นครั้งแรก นั่นคือกราฟิกและเอฟเฟกต์ของตัวเกมที่สวยเกินกว่าจะทำใจเชื่อได้ว่าเป็นเกมจากมังงะ/อนิเมะ แต่เชื่อเถอะครับว่าตัวเกมของจริงนั้น สวยงามตามที่เราได้เห็นไปก่อนหน้านี้ทุกประการ เพราะด้วยขุมพลังจาก Unreal Engine 4 ที่เนรมิตตัวละครจากปลายดินสอ ให้ออกมาในรูปแบบของโมเดลสามมิติที่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์เดิมของต้นฉบับได้อย่างครบถ้วนที่เมื่อผสมเข้ากับแสงเงาจากเอนจินกราฟิกแห่งยุคดังกล่าว มันก็ได้ทำให้บรรดาตัวละครทั้งหลายดูสมจริง จับต้องได้

และยิ่งเมื่อรวมเข้ากับบรรดาพาร์ติเคิล เอฟเฟกต์ (Particle Effects) ทั้งคลื่นความแรงเมื่อตัวละครปะทะกันด้วยหมัด เท้า และอาวุธ, แรงระเบิดของพลังหลากรูปแบบที่ส่งผลให้พื้นฉากต่อสู้ที่แตกกระแทกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย, แสงสีจากออร่าจากท่าทั้งหลาย ของตัวละครที่ดูน่าเกรงขาม ฯลฯ ที่ตัวเกมทำออกมาได้ถึงใจจนสามารถขับส่งให้ลวดลายการต่อสู้ทรงพลังและดุดันเหมือนที่มังงะและอนิเมะควรจะเป็น มีความเข้าใจในตัวละครทั้งหลายว่าความน่าเกรงขามของท่าทางการต่อสู้ควรแปรสภาพออกมาเป็นเอฟเฟกต์ในรูปแบบไหน

ระบบต่อสู้เรียบง่าย รวดเร็ว ดุดัน

แม้ Jump Force จะถูกจัดแจงตัวเองให้อยู่ในหมวดหมู่แนวไฟท์ติ้ง แต่เอาเข้าจริง ๆ ตัวเกมไม่ได้เข้าถึงยากหรือที่ซับซ้อนเกินจะเข้าใจ กลับกัน ระบบต่อสู้กลับค่อนข้างเข้าใจง่ายเอามาก ๆ การกดปุ่มเดียวย้ำ ๆ ก็สามารถกลายเป็นสร้างความเสียหายใส่อีกฝั่งได้ในระดับที่น่าพอใจ, เหล่าท่าไม้ตายไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ของตัวละครกว่า 40 ตัว สามารถเกิดขึ้นจากการกดปุ่มพร้อมกันเพียงไม่กี่ปุ่ม ฯลฯ

หนำซ้ำในหลายระบบของเกม ก็ยังถูกออกแบบมาให้ช่วยเหลือผู้เล่นไม่ให้เกิดการเหลื่อมล้ำหรือถูกเอาเปรียบจากอีกฝั่งที่ชำนาญกว่าจนเกินไป พร้อมยังทำให้การชิงไหวชิงพริบในจังหวะการต่อสู้นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดการปะทะอย่างไม่ยากเย็น ไม่ว่าจะ Chase ท่าที่ใช้ไล่ตามคู่ต่อสู้และเป็นได้ทั้งท่าที่หาจังหวะในการกดหนีออกมาจากคอมโบอีกฝั่งเพื่อตั้งตัว, Awaken ท่าบูสต์พลังโจมตีพร้อมปลดล็อคให้สามารถใช้ท่าไม้ตายใหญ่ได้เมื่อผู้เล่นคนนั้นมีพลังชีวิตต่ำกว่า 50%, Support Attack และ Switch การเรียกและเปลี่ยนมือตัวละครในทีมของเราที่สามารถขัดจังหวะคอมโบของอีกฝั่งได้ เป็นต้น

แต่ก็ใช่ว่าตัวเกมจะไร้ซึ่งความท้าทายใดๆ เพราะในการต่อสู้ตัวละครทั้งหมดในทีม (มากสุดคือ 3) ของเราจะใช้เกจพลังชีวิตเดียวกัน ทำให้มันกลายเป็นบีบบังคับแบบกลายๆ ให้ผู้เล่นต้องจดจ่อหาจังหวะสร้างความได้เปรียบในการต่อสู้

ระบบต่อสู้ของ Jump Force นั้น ถือว่าค่อนข้างออกแบบมาได้ดีพอสมควร เพราะมันมีทั้งความท้าทายและความเข้าถึงง่ายอยู่ในตัว แต่กระนั้น ถ้าจะให้ว่ากันตามตรง ระบบการต่อสู้ของเกมนี้ก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับเกมไฟท์ติ้งโดยถ่องแท้เจ้าอื่นที่เคร่งครัดในเรื่องของเฟรมการออกท่าหรือว่าฮิตบ๊อกที่เถรตรงได้ (ซีรีส์ Street Fighter, Tekken เป็นต้น) แต่ถ้าเล่นเพื่อเน้นความสนุกและสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่คลั่งไคล้แท้มังงงะ/อนิเมะร่วมกัน วันหยุดยาวหรือชั่วโมงนี้มีไว้ให้เพื่อนก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วแน่นอนครับ

“ภาษาไทยในเกม” ที่ทำการบ้านมาอย่างดี

บอกเลยว่าไม่เลวร้าย สำหรับผลงานแรกที่แปลไทยของทาง Bandai Namco โดยตัวเกม เราจะได้เห็นภาษาไทยปรากฎในรูปแบบของซับไตเติ้ล, เมนู และอินเตอร์เฟซต่างๆ ที่ไม่ได้สักแต่จะแปลแบบขอไปที่หรือนำคำไปหย่อนลง Google Translate กลับกัน ในหลายคำนั้นถูกแปลออกมาได้อย่างสละสวยระดับหนึ่ง ที่แม้อาจจะไม่ได้ตรงตามต้นฉบับหรือบ้างก็เป็นการแปลแบบตรงตามตามภาษาญี่ปุ่น แต่มันยังดีกว่าแปลแบบมั่วถั่วเพื่อให้ผ่าน ๆ ไป

สร้างตัวตนของคุณด้วยนานาวัตถุดิบของตัวละครมังงะ/อนิเมะที่โปรดปราน

ข้อดีสุดท้ายและท้ายสุดของเกมนี้ นั่นก็คือการสร้างตัวละครของคุณให้ออกผจญภัยไปยังโลกของจัมป์ (ชื่อของจักรวาลในเกม) ด้วยการนำวัตถุดิบทั้งหลายจากตัวละครทั้งหมดในเกมมาหลอมเข้าให้ออกมาเป็นคุณ “ที่สามารถทำละเอียดยิบมากๆ” ไล่ตั้งแต่รูปพรรณสัณฐาน (หน้าตา ทรงผม ส่วนสูง รอยแผลเป็น ฯลฯ) เครื่องแต่งกายที่จะหยิบเพียงแค่เสื้อของตัวละครนั้น ๆ มาแมทช์กับกางเกง ถุงมือ รองเท้า ไปจนถึงหมวก จะใส่เสื้อของลูฟี่แต่สวมกางเกงของนารูโตะ หรือจะไว้ทรงผมยูกิเกมกลคนอัจฉริยะแต่สวมรองเท้าของทรังค์จากดรากอนบอล ไม่ว่าจะอย่างไร “อิสระนั้นอยู่ที่คุณ” 

และอีกอย่างที่ชอบเอามาก ๆ จนต้องขอแยกย่อหน้าใหม่มาในส่วนนี้ ก็คือบรรดาท่าไม้ตายต่าง ๆ ที่ตัวเกม “คิดถึงตรรกะอยู่บ้าง” จริงอยู่ที่ท่าต่าง ๆ ที่ผู้เล่นซื้อมาใช้จะเป็นการนำมาจากตัวละครในเกม แต่กระนั้น เอฟเฟกต์หรือเอกลักษณ์เฉพาะของพวกเขา จะไม่ติดมาด้วย เช่น ท่าของเคนชินจากซามูไรพเนจรจะไม่มีดาบของต้นฉบับติดมาด้วย แต่จะใช้ออร่าที่มีรูปร่างคล้ายดาบมาทดแทนโมเดลดาบต้นฉบับ เป็นต้น หรือที่ผู้เขียนรู้สึกว่าตัวเกมพยายามไม่ฝืนตรระกะอย่างจริงจังเลย คือการที่ไม่มีท่าสแตนอันเป็นของตัวละครโจทาโร่ โจสตาร์จากเรื่องโจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษเข้ามาให้ตัวละครของผู้เล่นเลือกใช้ได้ จริงอยู่ที่ใครหลายคนอาจจะเสียดาย แต่ถ้ามองในมุมที่จริงจังขึ้นมาหน่อย มันก็สมเหตุสมผลดีแถมไม่ทำให้ท่าทางจากตัวละครที่เราสร้างตลกอีกด้วย

การโหลดยาวนานและถี่ยิบที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในเกมยุคนี้!

ผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ด้านการพัฒนาเกม เลยไม่สามารถอธิบายหรือให้น้ำหนักกับการแสดงความคิดเห็นของตัวเองในส่วนนี้ได้โดยตรง หากแต่ในมุมของผู้บริโภคคนหนึ่งที่เล่นเกมที่ใช้ Unreal Engine 4 มาประมาณและไม่ได้เจอปัญหาการโหลด เหมือนกับ Jump Force เท่านี้มาก่อน ซึ่งในเมื่อเจ้าอื่นยังสามารถบริหารทรัพยากรส่วนนี้ และทำไมเกมนี้ถึงทำไม่ได้?

และปัญหาดังกล่าวนี้บอกเลยครับว่า “มีผลกระทบต่อการเล่นเป็นอย่างมาก” คือไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตัวเกมมีการโหลดที่ยิบย่อยและบ่อยจนน่าหงุดหงิด เข้าไปปรับเปลี่ยนตัวละครก็โหลด!, จบคัทซีนเพื่อเข้าฉากต่อสู้ก็โหลด!, จบฉากต่อสู้เสร็จเตรียมเข้าเนื้อเรื่องก็โหลด! ทุกการขยับเขยื่อนในเกมจะมีจังหวะโหลดเข้ามาเกี่ยวพัน! ก็ไม่รู้ว่าในส่วนนี้จะถูกปรับแก้ในอนาคตหรือไม่ เอาเป็นว่าผู้เขียนขอให้มันอยู่ในข้อสังเกตชิ้นยักษ์ใหญ่ที่สุดของเกมนี้เลยละกัน และหวังว่ามันจะถูกแก้ปัญหาได้ในภายภาคหน้า (สักนิดก็ยังดี!)

เกมดีที่มีปัญหาทางเทคนิค

โดยรวม Jump Force คือเกมที่อุดมหลากหลายองค์ประกอบที่จะตอบโจทย์เกมเมอร์และคนรักมังงะ/อนิเมะได้อย่างถึงใจ ไม่ว่าจะด้วย เอฟเฟกต์การต่อสู้ที่ดุดันทรงพลัง งานโมเดลสามมิติที่คงไว้ซึ่งอัตลักษณ์เดิมของต้นฉบับ และความอิสระในสรรค์สร้างตัวละครแทนตัวตนของคุณจากการสลับเล็กผสมน้อยด้วยวัตถุดิบจากตัวละครที่คุณโปรดปราน แต่กระนั้น ในจุดที่ตัวเกมทำไว้น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก คือเนื้อเรื่องที่มีการนำเสนออย่างขอไปที และปัญหาการโหลดเกมที่แทบจะทุกอิริยาบถจนขัดอารมณ์ความต่อเนื่องในการเล่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook