รีวิวเกมสยอง Man of Medan คอนเซ็ปต์ดี มีตุ้งแช่ แต่ยังไม่ค่อยโดน

รีวิวเกมสยอง Man of Medan คอนเซ็ปต์ดี มีตุ้งแช่ แต่ยังไม่ค่อยโดน

รีวิวเกมสยอง Man of Medan คอนเซ็ปต์ดี มีตุ้งแช่ แต่ยังไม่ค่อยโดน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากผู้สร้างเกมแนวควิกไทม์อีเวนต์ เน้นให้ผู้เล่นกำหนดเส้นเรื่องด้วยตนเอง อย่าง Supermassive Games ที่เคยมีผลงานเด็ดเป็นเอกซ์คลูซีฟบนเครื่อง PS4 อย่าง Until Dawn มารอบนี้พวกเขายังคงดำเนินแนวทางสยองขวัญสั่นประสาท แวดล้อมด้วยบรรยากาศลึกลับไม่น่าไว้วางใจ และแน่นอนมากมวลด้วยเหตุการณ์ที่พร้อมจะฆ่าทุกตัวละครหากเราตัดสินใจหรือกดปุ่มพลาด ด้วยโพรเจกต์สุดทะเยอทะยานอย่าง The Dark Pictures Anthology ที่ใช้ไอเดียแบบซีรีส์สยองขวัญ ว่าด้วยภัณฑารักษ์สูงวัยผู้ดูแลหนังสือและภาพเขียนเก่าแก่ ที่จะมาเล่าเรื่องสยองขวัญให้เราฟังในแต่ละตอน คล้ายพวกเรื่องเล่าแบบรายการ Tale from the Crypt เรื่องเล่าจากหลุมศพ หรืออย่างบ้านเราก็เคยมีเช่น ยายกะลา ตากะลี ที่มีผีเฒ่ามาเล่าเรื่องสยองให้ฟัง

โดยภาพวาดที่ซ่อนในฉากของเรื่องเล่านั้นก็สร้างนิมิตถึงเหตุการณ์ในอนาคตเพื่อใบ้ผู้เล่นได้ด้วย ซึ่งก็เป็นกิมมิกที่ล้อกับชื่อเกมที่ว่า The Dark Pictures คือคิดคอนเซ็ปต์มาลงตัวเลยนะ ภัณฑารักษ์ปริศนา หนังสือต้องสาป ภาพวาดผีสิง และเรื่องเล่าสยองที่ซับซ้อนหลอกล่อให้เรางุนงงสงสัย โดยเรื่องแรกที่ Supermassive Games ได้เลือกมาเปิดหัวโพรเจกต์นี้ก็คือตอนที่ชื่อว่า Man of Medan นี่เอง

เนื้อเรื่องของ Man of Medan

ด้วยความที่เป็นเกมขายเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ส่วนนี้จึงน่าจะได้รับความพิถีพิถันมากที่สุดของเกม เพราะถ้าเนื้อเรื่องเอาไม่อยู่ให้เกมเพลย์ดีเท่าใด ก็อาจทำเอาแฟนแนวเกมนี้ส่ายหัวเอาง่าย ๆ โดยเนื้อเรื่องของเกมจะมีอินโทรสั้น ๆ เพื่อเกริ่นเรื่องราว ทั้งยังเป็นส่วนของการฝึกวิธีการเล่นไปในตัวด้วย เปิดเรื่องมาเราจะได้ตามชีวิตของทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กำลังได้เดินทางกลับบ้านด้วยเรือรบนามว่า Medan หลังจากผ่านภารกิจสำคัญมาได้

โดยหนึ่งในสัมภาระสำคัญที่ถูกลำเลียงขึ้นเรือไปพร้อมกันจากท่าเรือในประเทศจีน คือ ร่างของทหารผู้พลีชีพในโลงศพคลุมธงชาติสหรัฐ ที่เพิ่มบรรยากาศสยองขวัญขึ้นทันที นอกจากนั้นยังมีลังปริศนาที่มีสัญลักษณ์กระดูกไขว้จำนวนหนึ่งถูกขนขึ้นอย่างระมัดระวังด้วย เราจะได้เล่นเป็น 1 ในทหารที่ตื่นมาจากอาการป่วยและพบว่าบัดนี้ลูกเรือต่างกำลังถูกคุกคามจากบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาอาละวาด และบางคนก็ตายอย่างสยดสยองด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับหวาดกลัวบางอย่าง

เรื่องราวตัดข้ามมายังปัจจุบัน ชายหนุ่มกับแฟนสาว พร้อมน้องชายของทั้งคู่รวม 4 คนกำลังจะออกทริป โดยเช่าเรือของกัปตันสาวห้าวเพื่อล่องมหาสมุทรและดำน้ำในจุดที่พบเรือและเครื่องบินสมัยสงครามโลก และนั่นก็เป็นจุดเริ่มของเรื่องราวต่าง ๆ เมื่อคู่รักได้พบหลักฐานบางอย่างจากซากเครื่องบินใต้น้ำที่บ่งชี้ถึงทองคำที่ถูกขนไปกับเรือ Medan แม้กัปตันสาวจะเตือนนักหนาว่าอย่าไปยุ่งสมบัติผู้ตายจากท้องทะเล และในคืนนั้นเองเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้พวกเขาถูกโจรสลัดปล้นเรือ และทั้งหมดก็ได้เผชิญเรือร้าง Medan โดยไม่คาดคิดท่ามกลางพายุกระหน่ำ เรื่องราวสุดสยองขวัญบนเรือผีสิงของเหล่าหนุ่มสาวที่ต้องเผชิญทั้ง ซากศพ วิญญาณ ปริศนาบนเรือ และหนีการไล่ล่าจากกลุ่มโจรจึงเริ่มขึ้นนับจากนั้น

พูดกันแบบเข้าเรื่องเลยคือ เนื้อเรื่องเกมนี้เปิดหัวได้น่าสนใจมากในยุคสงครามโลก ก่อนจะแผ่วลงมากในช่วงเปิดตัวยุคปัจจุบัน และกว่าจะเข้มข้นอีกครั้งก็นู่นขึ้นเรือผีไปแล้วนั่นล่ะ และถ้าคุณเป็นสายสำรวจยับอ่านทุกอย่างที่เก็บได้ คุณก็จะพอเดาเรื่องราวปริศนาได้ตั้งแต่กลาง ๆ เกมแล้วด้วย คือน่าเสียดายไปนิดที่เกมไม่ได้วางหมากซับซ้อนพอ หรือไม่ก็วางเบ็ดล่อที่โฉ่งฉ่างเกินไปจนคนเล่นเดาทางได้ไปเสียก่อน ความลุ้นหรือสงสัยอยากรู้ฉากจบเลยไม่ได้มีมากเท่าเกมในแนวเดียวกัน หรือแม้แต่กับเกมก่อนหน้าอย่าง Until Dawn เลย และเมื่อบวกกับเนื้อหาที่ไม่ได้ยาวเท่าไหร่เลย เล่น 5-6 ชั่วโมงก็จบได้ เลยรู้สึกว่ามันอาจไม่ค่อยอิ่มค่อยคุ้มเท่าไหร่กับเนื้อเรื่องที่มีเท่านี้

การนำเสนอของ Man of Medan

บรรยากาศของเกม อาจเป็นจุดแข็งที่ทำให้ตัวเกมดูน่าสนใจและน่ากลัวมาก เพราะการสร้างบรรยากาศอึดอัดในทางเดินแคบ ๆ มืด ๆ บนเรือ ผนังเก่าเกรอะสนิม ข้าวของเครื่องใช้ผิดยุคผิดสมัย และซากศพที่ตายอย่างผิดปกติมากมายทุกซอกมุมบนเรือ ยิ่งโถงที่บรรทุกโลงศพยิ่งน่าขนลุก มันคือไม้ตายจริง ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าเราเล่นไป กลัวไป สงสัยครุ่นคิดว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่ออกมา เพราะเกมยังเล่นกับผู้เล่นด้วยสารพัดฉากตุ้งแช่ หรือ Jump Scare จนบางทีไม่ค่อยกล้าจะเดินไปไหนเลย ยิ่งเสียงเงียบ ๆ ชวนลุ้น และจังหวะตกใจที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้เกมนี้กลายเป็นอีกหนึ่งความสยองของผู้เล่นได้ง่าย ๆ เลย

แต่กระนั้นข้อเสียมันก็มี เพราะถึงจะวางจัมป์สแกร์เป็นหมากสำคัญที่จะหลอกผู้เล่น แต่ความแม่นของจังหวะที่จะทำให้สำเร็จผลนั้นก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง หลายครั้งที่แป้กก็มี คือบางฉากเฉยมาก ซึ่งเรื่องนี้ต้องพูดพ่วงไปถึงเรื่องของการออกแบบเพอร์ฟอร์แมนซ์ของเกมและกราฟิก ซึ่งเข้าใจว่าหันมาใช้เอนจิน Unreal 4 แทนเอนจิน Decima ซึ่งเคยใช้ในเกมก่อนหน้า ที่กลายเป็นว่าทำให้รู้สึกว่าเกมหน่วงกระตุก รวมถึงโหลดไม่ทันอยู่หลายครั้งแม้จะใช้เครื่อง PS4 Pro แล้วก็ตาม ซึ่งจังหวะหน่วงนั้นมีผลอย่างมากในเรื่องอรรถรสของเกมที่สูญไป นอกจากนี้ตัวกราฟิกก็ดูธรรมดาจนเราไม่ค่อยอิน ต่างจากตอน Until Dawn ที่สวยจนเหมือนดูหนังอยู่ แต่กับ Man of Medan ที่ใช้เกมเอนจินใหม่กลับได้ภาพที่ดูขาดรายละเอียด ซากศพดูไม่สยดสยอง ในขณะที่ตัวละครต่าง ๆ ก็ดูออกแนวการ์ตูนสามมิติมากกว่าคนที่สมจริง ท่าทางการเคลื่อนไหวก็แข็งขัดเขินชอบกล ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยกับทีมสร้างที่มีประสบการณ์ยิ่งกับเกมสไตล์เน้นการเล่าเรื่องแบบนี้ด้วย

ความไม่ลื่นไหลยังมีปรากฏในการตัดต่อเชื่อมเรื่องราวด้วย เพราะหลายสถานการณ์ที่เป็นคัตซีนก็ไม่ค่อยเคลียร์นักว่าเกิดอะไรขึ้น ทิ้งให้ผู้เล่นคิดเองแบบไม่รับผิดชอบก็มีประปรายด้วย ก็เป็นจุดบกพร่องที่ไม่น่ามีในเกมเน้นเนื้อเรื่องราวชมภาพยนตร์เช่นนี้ล่ะนะ

และอาจเพราะเกมอาศัยความเงียบเป็นอาวุธเสริมส่งการใช้เสียงให้ตกใจ ทำให้ภาคดนตรีของเกมนี้ไม่ค่อยเน้นเท่าไร และทำออกมาได้ทื่อมากจนเราแทบไม่ได้สนใจมัน เสียงประกอบที่สร้างบรรยากาศหลอกหลอนก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ มารูปแบบเดียวตลอดจนเล่น ๆ ไปเราก็อาจชินชาได้ พูดรวม ๆ ในแง่การนำเสนอก็มีทั้งจุดดีและจุดเสียมากพอ ๆ กัน แต่จุดเสียนั้นอาจจะไม่ได้ร้ายแรงแต่ก็ชวนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

จุดที่อยากพูดอีกอย่างคือ เกมนี้ลดความรุนแรงลงเยอะมากจาก Until Dawn ฉากตายโหด ๆ ที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนหายไปแทบหมด อาจด้วยเป็นความตั้งใจของทีมงานที่อยากให้เข้าถึงแฟนเกมรุ่นเยาว์มากขึ้น แต่น่าเสียดายที่มันลดทอนจนกลายเป็นจืดชืดเอาเสียมากกว่า ฉากสยอง ๆ ที่ให้ขนหัวลุกก็น้อยมากเมื่อเทียบกับเกมแนวเดียวกัน คือตัดบรรยากาศที่ดีออกเกมก็แทบไม่มีอะไรน่ากลัวจริง ๆ เลย

ระบบการเล่นของ Man of Medan

เกมนี้เราจะต้องไขปริศนาต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายผ่านตัวละครถึง 5 ตัวด้วยกัน โดยการตัดสินใจของแต่ละตัวละครก็จะส่งผลถึงลักษณะนิสัยของตัวละครนั้น ๆ ที่จะสร้างทางเลือกในเหตุการณ์หลังจากนั้นที่แตกต่างกัน ทั้งยังส่งผลต่อระดับความสัมพันธ์กับอีก 4 ตัวละครที่เหลือตลอดเวลาด้วย โดยเราสามารถกดปุ่ม R1 เพื่อเข้าไปดูค่าเหล่านี้ได้ตลอดเวลาเลยด้วย ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าขณะนี้ตัวละครที่ควบคุมกำลังรู้สึกหรือมีบุคลิกไหนเด่นชัดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย ตรงนี้ทำให้เกมดูมีความลึกขึ้น แต่ก็อยากให้ปรับปรุงให้ค่าเหล่านี้ส่งผลกับเนื้อเรื่องมากขึ้นแบบเห็นความต่างชัด ๆ มากกว่านี้ด้วยล่ะนะ ในตอนนี้เล่นไปก็ไม่รู้สึกเท่าไหร่ว่าการเลือกที่เปลี่ยนค่านิสัยหรือความสัมพันธ์จะส่งผลร้ายแรงต่อเนื้อเรื่องที่ถูกบังคับมากลาย ๆ เท่าไรนัก

สำหรับการควบคุมก็ยังเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดตามลักษณะเกมมุมมองบุคคลที่สามที่เน้นการเดินสำรวจ เพราะเราต้องคุมทั้งทิศทางและการเคลื่อนที่ไปในตัว ทั้งยังการหมุนตัวเพื่อหาทิศก็ไม่ได้ลื่นไหลนัก แต่เมื่อเล่น ๆ ไปก็จะจับจุดได้และเล่นคล่องขึ้นเอง แต่เพราะไม่มีปุ่มวิ่งทำให้เกมออกจะค่อยเป็นค่อยไปจนอืดไปสักหน่อย ก็ยังดีที่การสำรวจนั้นมักจะเป็นสถานที่ใหม่ ๆ อยู่ตลอด น้อยครั้งมากที่เราจะได้กลับมาสำรวจจุดเดิม ทำให้ลดความน่าเบื่อที่จะต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ลงไปได้บ้าง

และจุดที่ช่วยให้เกมสนุกก็คือ ควิกไทม์อีเวนต์ ที่หลากหลาย มีทั้งกดปุ่มให้ตรงในเวลาที่กำหนด การกดรัวให้เกจเต็มในเวลาที่กำหนด การเคลื่อนลูกศรเข้าหาพื้นที่เป้าหมายให้ทัน และที่ยากชะมัดคือการกดให้ตรงจังหวะหัวใจเต้นที่เป็นแถบวิ่งเข้ามา ซึ่งบางช่วงก็ยากจนนึกว่าเกมบังคับให้ไปแค่รูทนี้เสียแล้ว (แต่ก็ไม่ใช่หรอก) ใครถนัดเล่นเกมแนวเต้นอาจจะมองว่าง่ายก็ได้นะ แต่ส่วนตัวไม่ชินสักที จุดที่เสียไปและชอบมากในตอนเกม Until Dawn อย่างการคุมจอยให้นิ่งที่สุดนั้น ก็น่าเสียดายมาก เพราะช่วยสร้างมิติหลากหลายให้การเล่นได้ดี แต่เพราะเกมนี้เลิกเป็นเอกซ์คลูซีฟบน PS4 แล้ว ฟังก์ชันที่เล่นกับเซนเซอร์ของจอยทั้งหลายเลยหายไปด้วย ถ้ามองแบบเทียบกันก็ต้องบอกว่าเป็นพัฒนาการที่แย่ลงของทีมสร้างล่ะนะ

สรุป

นี่เป็นเกมเน้นเนื้อเรื่อง ปริศนา การไขความลับ และการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งได้ทีมที่มากประสบการณ์มาดูแล แม้จะมีคอนเซปต์การเล่าที่น่าสนใจมาก มีการสร้างบรรยากาศที่ดีมาก แต่ก็น่าเสียดายว่าด้วยความถดถอยอันเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเกมก่อนหน้าของทีมงานนี้ ไม่ว่าจะเรื่องกราฟิก เพอร์ฟอแมนซ์ ความรุนแรงความสะใจที่ไม่ค่อยสนองตอบต่อแฟนรุ่นใหญ่ ระบบการเล่น ความยาวของเกม ความอยากเล่นซ้ำที่ไม่มากนัก และเนื้อเรื่องจุดหักมุมที่เดาง่าย

ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้ตอนต่อไปที่ชื่อว่า The Little Hope ซึ่งจะวางขายในปี 2020 ทีมงานจะรีบปรับปรุงและนำประสบการณ์ขนหัวลุกสนุก ๆ มาให้แฟน ๆ ของ Supermassive Games ได้อีกครั้งล่ะนะครับ เพราะอย่างไรเสียเกมแนวนี้มา ก็ต้องขอเล่นแน่นอนอยู่แล้วล่ะนะ เพราะในใจลึก ๆ ก็ยังศรัทธากับค่ายเกมนี้อยู่มาก ๆ

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook