เปรียบเทียบ Xbox Series X VS Playstation 5 ใครเหนือกว่ากัน
ก็เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับ Next Gen Console ทั้งสองฝ่ายอย่าง Microsoft Xbox Series X และ Sony Playstation 5 หลังจากที่มีข่าวลือต่าง ๆ นา ๆ ออกมาตลอดในช่วงปีที่ผ่านมา และในที่สุดเราก็ได้เห็น “สเปก” อย่างเป็นทางการ พร้อมกับฟีเจอร์หลัก ๆ ของ Console ทั้งสองเครื่อง และวันนี้เราก็จะเอาข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดมาวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่ากันแน่ โดยในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกไปถึงสเปกของทั้งสองเครื่องแบบจัดเต็มกันเลยทีเดียว ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย !!
Specification Xbox Series X
CPU: 8x Zen 2 Cores at 3.8GHz (3.6GHz with SMT) 7nm GPU: 12 TFLOPs, 52 CUs at 1.825GHz, Custom RDNA 2 Memory: 16GB GDDR6 Memory Bandwidth: 10GB at 560GB/s, 6GB at 336GB/s Internal Storage: 1TB custom NVMe SSD IO Throughput: 2.4GB/s (Raw), 4.8GB/s (Compressed) Expandable Storage: 1TB Expansion Card Optical drive: 4K UHD Blu-ray
Playstation 5
CPU: 8x Zen 2 Cores at 3.5GHz (variable frequency) GPU: 10.28 TFLOPs, 36 CUs at 2.23GHz (variable frequency) Custom RDNA 2 Memory: 16GB GDDR6/256-bit 8GB Memory Bandwidth: 448GB/s Internal Storage: Custom 825GB SSD IO Throughput: 5.5GB/s (Raw), Typical 8-9GB/s (Compressed) Expandable Storage: NVMe SSD Slot Optical drive: 4K UHD Blu-ray
โดยทั้งสองนั้นมีสเปกที่เรียกว่าแทบจะลอกการบ้านกันมาเลยทีเดียว แต่จะแตกต่างกันตรงที่ทาง PS5 นั้นจะดูด้อยกว่านิดหน่อยครับ โดยทั้งสองจะใช้ CPU ของ AMD สถาปัตยกรรม Zen 2 ตัวใหม่ล่าสุด ที่ Custom Made มาเพื่อ Console โดยเฉพาะ แตกต่างกันที่ Clock Speed ของ PS5 นั้นมีเพียง 3.5GHz ในขณะที่ทาง Xbox Series X สูงที่ 3.8GHz โดยทั้งคู่นั้นเรียกได้ว่า อาจจะ เป็นตัวเดียวกันเลยก็ได้ แต่ทาง Xbox ได้ Overclock เพื่อเพิ่ม Clockspeed มาก็เป็นได้ครับ
ต่อมาเรามาดูที่ GPU กันบ้าง แน่นอนว่าทั้งคู่ก็ได้ใช้บริการจากทาง AMD เช่นกัน กับสถาปัตยกรรม RDNA 2 ที่ Custom มาสำหรับ Console ทั้งสองเครื่อง สำหรับเจ้า RDNA นั้นเป็น GPU สถาปัตยกรรม แบบ 7nm ที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน โดยมาพร้อมกับ Radeon RX 5000 ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเมื่อปี 2019 นี้เองครับ โดยรุ่น Top ของมันก็คือ Radeon RX 5700 XT แต่สำหรับ Console ทั้งสองรุ่นนี้นั้นเป็น RDNA 2 ซึ่งยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหนเลย
มาดูที่ฝั่ง Xbox Series X กันก่อน ตัว GPU นั้นมาพร้อมกับ 12 Teraflop 52 CUs มีความเร็วอยู่ที่ 1.825 โดยถ้าพูดกันตามตรง นี่มันเป็น GPU ที่แรงกว่า Radeon RX 5700 XT แรงกว่า GTX 1080Ti หรืออาจจะแรงกว่า RTX 2080 เสียอีก ด้วยจำนวน TFLOPs และ Core Speed ที่สูงกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังยืนยันไม่ได้จนกว่าจะได้ทดสอบกันจริง ๆ
มาดูฝั่ง Playstation 5 กันบ้าง อย่างที่ผมบอกไปว่าทั้งสองเครื่องนั้นแทบจะลอกการบ้านกันมา เพราะทางฝั่ง PS5 เองก็ใช้ GPU RDNA 2 Custom เช่นกัน แต่จะมีจำนวน TFLOP อยู่ที่ 10.28. 36 CUsซึ่งน้อยกว่าทาง Xbox อยู่ แต่กลับมี Core Speed โคตรสูงอยู่ที่ 2.23GHz ซึ่งหากใครเป็น PC Gamer ก็อาจจะงงว่า PS5 มันดัน Core Speed ไปสูงมากกว่า 2GHz ได้ยังไง ถ้าไม่ผ่านการ Overclock มา แต่อย่างที่บอกไปครับว่ามันเป็น Custom RDNA 2 ซึ่งยังไม่ได้เปิดตัวที่ไหน และเราก็ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมากครับ
แต่สิ่งที่เราเห็นชัด ๆ กันอยู่แล้วก็คือ CPU และ GPU ทั้งสองรุ่นมีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในเรื่องของตัวเลข แต่ในเรื่องของการใช้งานจริงล่ะ ?? จะแตกต่างกันไหม
แน่นอนนอนว่าแตกต่างกันมากอยู่ครับ โดยก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับเจ้า “Teraflop” กันก่อน “Flop” มันก็คือ floating point operation โดยจะใช้เรียกเป็น หน่วยพื้นฐานของพลังการคำนวณ และสำหรับ AMD เองมันก็คือ หัวใจหลักของ GPU เลยก็ว่าได้ โดยหลักการคำนวนนั้นมันเป็นคณิตศาสตร์พื้นฐานเลยครับ เราจะนำเอา Shader Cores มาคูณกับ Core Speed ของ GPU โดยสำหรับ GPU ของ AMD นั้นเราจะคิดเป็น 64 Shader Core ต่อ Compute Unit หรือก็คือ CU นั้นเอง
โดย Xbox Series X นั้นมี 52 CU และ PS5 มี 36CU โดยถ้าเรานำเอามันมาคูณกับ 64 ซึ่งคิดเป็น Shader Core ต่อ 1 CU ก็จะกลายเป็น 3,328 สำหรับ Xbox Series X และ 2,304 สำหรับ PS5 และเมื่อเราได้จำนวน Shaders Core มาแล้ว ก็ให้นำไปคูณกับ Core Speed ของ GPU และให้คูณด้วย 2 อีกครั้งก็กลายเป็นจำนวน Teraflop ครับ
- Playstation 5 มี 36 CUs เท่ากับ 2,304 Shaders Core * 2,233 * 2 = 10,289,664 (10.28 TFLOP)
- Xbox Series X มี 52 CUs เท่ากับ 3,328 Shaders Core * 1,825 * 2 = 12,147,200 (12 TFLOP)
และเมื่อเราดูจากจำนวนตัวเลขที่ต่างกัน แน่นอนว่ามันก็บอกได้ถึงประสิทธิภาพที่ต่างกัน และยังคงมีเรื่องของความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง ไหนจะเรื่องพลังงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ถ้าจะพูดกันวันนี้ก็คงไม่จบ เพราะฉะนั้นผมจึงขอกลับมาเรื่องของ PS5 VS Xbox Series X กันก่อน แน่นอนว่า PS5 นั้นด้อยกว่า Xbox Series X อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้ว่า Core Speed จะสูงกว่าก็ตาม
และด้วยการที่ตัวเลขมันห่างกัน 2 TFLOP มันอาจจะดูเป็นจำนวนที่น้อย แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่น้อยเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรานำเอา GTX 1080 (9 TFLOP) มาวัดกับ GTX 1070 (6.5 TFLOP) โดยสองรุ่นนี้มี TFLOP ห่างกันอยู่ 2.5 ประสิทธิภาพของการ์ดจอทั้งสองรุ่นก็ห่างกันอยู่มากเลยทีเดียว มีความแตกต่างมากถึง 10 FPS แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ Hardware ของทางฝั่ง Console นั้นมันแตกต่างจาก PC อยู่บ้าง เราก็ยังพูดอะไรมากไม่ได้ว่า PS5 นั้นจะด้อยกว่า Xbox Series X โดยมี FPS ต่างกัน แต่สำหรับผมมองว่ามันเป็นเรื่องของ Resolution หรือความละเอียดภาพมากกว่าครับ
ย้อนกลับไปดู Current Gen Console ปัจจุบันอย่าง Playstation 4 และ Xbox One กันบ้าง โดยเจ้า PS4 นั้นมี (1.84 TFLOP) และ Xbox One ที่ (1.31 TFLOP) และไม่นานต่อมาทั้ง 2 ค่ายก็ได้ออกเครื่องรุ่น Upgrade ของตัวเองออกมา โดยรองรับการเล่นเกมแบบ 4K โดยจะมีฝั่ง PS4 Pro (4.2 TFLOP) ที่รองรับภาพ 4K แบบ Upscale ส่วนทาง Xbox One X (6 TFLOP) ที่รองรับภาพ 4K แท้ ๆ และอย่างที่เห็นครับว่า ทั้ง 2 รุ่น Upgrade มันก็มีความแตกต่างกันที่ 2 TFLOP อีกแล้ว แต่สิ่งที่ Xbox One X เหนือว่านั้นก็คือการที่ตัวเครื่องรองรับการเล่นเกมแบบ 4K แท้ ๆ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของ Resolution นั้นเอง
“แล้ว 4K มันจำเป็นไหมสำหรับยุคนี้ ??”
ผมว่าคำตอบของคำถามนี้มันอยู่ที่ตัวผู้ใช้งานเองล้วน ๆ เลยครับ ก่อนอื่นเราก็ต้องมองก่อนว่าเจ้าเครื่องเกม Console เนี้ย มันออกแบบมาสำหรับใช้งานเล่นกับ TV ในห้องนั่งเล่น โดยในห้องนั่งเล่นของแต่ละคนสมัยนี้ก็น่าจะมี TV จอใหญ่ ๆ สัก 40-50 นิ้วขึ้นไป และบางรุ่นก็รองรับ 4K แท้ ๆ ที่ 3840 x 2160 pixels กันแล้ว บางคนก็ยังอาจจะเล่นเกมกับจอ TV Full HD ธรรมดาอยู่ หรือบางคนนี่เล่นเอามาต่อกับจอ PC Monitor กันเลยทีเดียว
แน่นอนว่า 4K เป็นเรื่องที่ปกติไปแล้วสำหรับยุคนี้ บ้านใคร ๆ ก็มี TV 4K กันหมด แต่สิ่งที่มันไม่ปกติ ก็คือสื่อที่จะมารองรับมันนี่ล่ะครับ สำหรับ Console เองก็น่าจะมองเห็นในจุดนี้ และดันมันไปให้สุด แต่สิ่งที่ผมมองว่ามันสำคัญกว่า 4K ก็คือการทำให้เกมรันที่ 60FPS เป็นมาตรฐานสำหรับ Console เสียมากกว่า ชาว Console ติดอยู่ในยุค 30 FPS มานานมากแล้ว ผมเชื่อว่าใคร ๆ ที่ได้เล่น 60 FPS นั้นแทบจะไม่อยากกลับไปเล่น 30 FPS เลย เช่นเดียวกับผมตอนนี้ ที่กลับไปเล่นเกมแบบ 60FPS ไม่ได้แล้ว เพราะมาดันมาใช้ Monitor แบบ Freesync 75Hz และทำให้ 75 FPS กลายเป็นเรื่องพื้นฐานของตัวผมไป
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามาดูสเปกของเจ้า Next Gen Console ก็คงพูดได้เลยว่า 4K 60FPS มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยากสักเท่าไร สำหรับเกมที่ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของเครื่องมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าทางทีมงานผู้พัฒนาเกม จะต้องใส่ตัวเลือกมาให้เราอย่างแน่นอน
Memory & Storage
มาดูในส่วนของระบบความจำ และ การเก็บข้อมูลกันบ้างครับ ระบบความจำของทั้งคู่มาพร้อมกับ แรมจำนวน 16GB GDDR6 เท่ากัน แต่ทาง Xbox Series X จะมี Memory Bandwidth อยู่ที่ 10GB at 560GB/s และ 6GB at 336GB/s ส่วนสำหรับ PS5 นั้นจะมีอยู่ที่ 448GB/s แน่นอนว่าถ้าเรามองเพียงแค่ตัวเลขอย่างเดียว Xbox Series X จะเหนือกว่าอยู่เล็กน้อยในเรื่องของ Memory Bandwidth แต่เอาเข้าจริงมันแทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไรในการใช้งานจริงครับ
อย่างที่เรารู้กันว่าทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะใช้ SSD (Solid State Drive) เป็นแหล่งเก็บข้อมูล แน่นอนว่า SSD นั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่มานานมาก ๆ แล้ว แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะมันมีราคาค่อนข้างสูง แต่ในยุคปัจจุบันนี้นั้น SSD มีราคาที่ถูกลงมาก เกมเมอร์ชาว PC มองว่า SSD เป็นอุปกรณ์พื้นฐานเลยสำหรับคอมหนึ่งเครื่อง และเมื่อมาถึง Next Gen Console ทั้งที่ ถ้าจะให้แค่ใส่ ๆ มามันก็คงจะธรรมดาไปเสียหน่อย
เรามาดูทางฝั่งเขียวกันก่อนครับ Xbox Series X ได้เลือกใช้ Custom SSD แบบ NVMe1TB โดยความจุ 1TB ผมมองว่ามันอาจจะน้อยไปซักหน่อย เพราะในยุคนี้มันมีขนาดที่ใหญ่มาก ๆ บางเกมก็ปาเข้าไป 100GB แล้ว และสำหรับทางฝั่งฟ้าเองอย่าง Playstation 5 ก็ได้เลือกใช้ Custom NVMe SSD เช่นกัน แต่มีความจุแค่ 825GB เท่านั้น
NVMe นั้นคือมาตรฐานใหม่สำหรับ SSD โดยที่ถ้าจะให้เข้าใจกันง่าย ๆ มันก็คือ SSD เวอร์ชั่นที่เร็วกว่า เร็วจนชนิดที่ว่าแทบจะไม่มีคำว่ารออยู่เลยสารบบเลยทีเดียว NVM ย่อมาจาก Non-Volatile Memory มันก็คือเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเลี้ยง ส่วน e ที่ตามหลังมาก็คือ Express โดยมันจะใช้ช่อง PCI-Express ในการเชื่อมต่อครับ ปกติ SSD ที่ใช้กันในคอมพิวเตอร์ทุกวันนี้มักจะเชื่อมต่อกันผ่าน SATA Port แต่จริง ๆ แล้วนั้น SATA Port มันถูกออกแบบมาสำหรับใช้กับ HDD ธรรมดา โดยใน SATA 3.0 นั้นรองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 6GB โดยที่มันน้อยกว่าความเร็วสูงสุดของ SSD เสียอีก การมาของ NVMe ทำให้ช่องว่างตรงนี้หายไปนั้นเอง
แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า SSD ของ Next Gen Console นั้นมันเป็นแบบ Custom แน่นอนว่าการทำงานของมันก็อาจจะแตกต่างไปจากของ PC เล็กน้อย ใน Xbox Series X ก็ได้มีการแกะตัวเครื่องออกมาให้ดูแล้วพบว่า SSD นั้นได้ถูกฝังไว้กับ Mainboard เลย ส่วนสำหรับ PS5 นั้นเราก็ยังไม่รู้อะไรมาก เพราะยังไม่มีตัวเครื่องออกมาให้เราเห็นครับ และแน่นอนว่าการที่มันเป็น Custom มั่นใจได้เลยว่ามันจะต้องทำงานได้ดีกว่า SSD NVMe ทั่ว ๆ ไปแน่นอน
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้ ก็คือ External Storage โดยทาง Xbox Series X นั้นได้เปิดตัว “Expansion Card” โดยมันก็คือ USB 3.2 HDD ขนาด 1TB ผลิตโดย Seagate ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าที่ตัวเครื่องได้เลย แน่นอนว่าเราสามารถลงเกมไว้ในนั้นได้ โดยมันก็จะให้อารมณ์คล้าย ๆ กับการเสียบตลับเกมเล่น แต่จะเต็มไปด้วยรายชื่อเกมที่เราเก็บมันเอาไว้นั้นล่ะครับ และ ทางฝั่งของ PS5 นั้นยังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ออกมา แต่เรารู้เพียงแค่ว่าตัวเครื่องจะรองรับ USB HDD เช่นเดิม
Backward Compatibility
Backward Compatibility ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สำหรับเครื่อง Console เลยล่ะครับ ย้อนกลับไปในช่วงยุค 90 ทาง Nintendo ได้ออกตลับ Super Gameboy ออกมาสำหรับ SFC,SNES ทำให้เราสามารถเล่น Gameboy บนหน้าจอทีวีผ่านเครื่อง Console ของเราได้ หรือการที่ Nintendo Wii สามารถเล่นเกมของเครื่อง Gamecube ได้การที่ PS3 สามารถเล่นเกม PS1,PS2 ได้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ดีมากครับ
แต่พอมาในยุค Current Gen ปัจจุบันนี้ สิ่งที่ขาดหายไปก็คือ Backward Compatibility โดยทาง Xbox One เองก็เพิ่งจะออกมารองรับหลังจากวางขายมาหลายปี แต่นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะผมสามารถเอาแผ่น Red Dead Redemption ภาคแรกของ Xbox 360 มาใส่เล่นในเครื่อง Xbox One X ของผมได้สบาย ๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย แถมยังมีความละเอียดภาพที่ดีขึ้นกว่าของเดิมเล็กน้อย แต่ในทางกลับกัน ผมไม่สามารถเอาแผ่น Metal Gear Solid 4 ของ PS3 ไปใส่เล่นใน PS4 ได้ เนื่องจากตัวเครื่องไม่รองรับ Backward Compatibility นั้นเอง
ปัญหานี้เราจะโทษใครไม่ได้ เพราะ PS3 นั้นมี Microprocessor โครงสร้างเครื่องโดยรวมที่แตกต่างจากของ PS4 อยู่มากครับ PS3 นั้นได้ใช้ Cell แตกต่างจากของ PS4 ที่เป็น Based x86 โดยเจ้า x86 มันก็คือ โครงสร้างของ PC ที่เราใช้ ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้นั้นเอง ในยุคนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นเกม Exclusive หรือไม่ แค่เกม 3rd Party จากค่ายเดียวกันก็ยังยากเลยครับ ที่จะ Port ตัวเกมมาลง PS3
นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่สามารถเล่นเกม PS3 ใน PS4 ได้ แตกต่างจากทางฝั่ง Xbox ที่ใช้ x86 มาตั้งแต่เริ่มต้น โดยเอาเข้าจริงแล้วโครงสร้างของ Xbox นั้นมันแถบจะไม่ต่างอะไรกับ PC เครื่องหนึ่งเลยทีเดียว มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสามารถเล่นเกม Original Xbox, Xbox 360 ในเครื่อง Xbox One ได้ครับ
มาจนถึงยุค Next Gen แน่นอนว่าการที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างใช้ CPU แบบ x86 กันทั้งคู่ การรองรับ Backward Compatibility จึงเป็นเรื่องปกติ สำหรับในฝั่ง Xbox Series X นั้นสามารถเล่นเกมได้ทั้งของ Original Xbox, Xbox 360 และ Xbox One บางเกมยังสามารถเล่นได้ที่โหมด 4K 60FPS หรือ Full HD 60FPS ได้อย่างสบาย ๆ รองรับการโหลดเกมผ่าน SSD หรือถ้าใครที่ยังมีแผ่นเกมต้นฉบับ ก็เอามาใส่เล่นได้เลย อีกทั้งยังมี Xbox Live ที่เชื่อมต่อผู้เล่นของทั้งสองเครื่องเข้าหากันในเกมเดียวกันอีกด้วย
สำหรับ Playstation 5 นั้น แน่นอนว่าก็รองรับ Backward Compatibility เช่นกัน แต่จะเล่นได้แค่เพียงเกมจาก PS4 เท่านั้น โดยเบื้องต้นจะรองรับเกมมากกว่า 100 เกม และคาดว่าจะเล่นได้ทันที หลังจาก PS5 วางจำหน่าย แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่าจะสามารถเล่นเกม PS1,PS2,PS3 ได้ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ยากมาก ถ้าเป็นไปได้ ก็อาจจะมาในรูปแบบของ Emulator ที่ PS4 เล่นเกม PS2 ได้ผ่านการจำลอง อีกทั้งยังไม่มีการยืนยันเรื่องที่ผู้เล่นสามารถนำเอาแผ่นเกมของ PS4 มาเล่นได้ หรือจะมีการเสียค่าบริการเพิ่มเติมไหมอีกด้วยครับ
สรุป
ถ้าจะให้บอกว่าตอนนี้ Console เครื่องไหนชนะในแง่ของทั้งสเปก และฟีเจอร์ต่าง ๆ จากข้อมูลที่มีตอนนี้ ผมก็คงตอบว่าเป็น Xbox Series X อย่างไม่ต้องสงสัย อย่าลืมครับว่าบทความนี้เป็นบทความที่จับเอา Next Gen Console ของทั้งสองฝ่ายมาปะทะกัน ถ้าเราไม่สรุปผลแพ้ชนะ บทความนี้ก็คงไม่มีความหมายอะไรครับ
แต่ว่ากันตามตรง บทความนี้เป็นการนำเอา สเปก ของทั้งสองฝั่งมาปะทะกันก็เท่านั้น ผมยังไม่ได้พูดถึงฟีเจอร์ทั้งหมดเลยของทั้งสองเครื่อง นั้นเป็นเพราะว่าข้อมูลที่มีมันไม่เท่ากันครับ ทางฝั่ง Xbox Series X เองนั้นปล่อยออกมาจนแทบจะหมดเปลือกแล้ว สิ่งที่ผมอยากรู้ก็มีเพียงแค่ราคา กับ Launch Title เท่านั้นเอง แตกต่างจากฝั่ง Playstation 5 ที่แม้แต่ตัวเครื่องเองเราก็ยังไม่เห็น งานนี้เราคงต้องรอกันยาว ๆ
แต่ การต่อสู้ยังมีอีกหลายยก ทาง Sony เองถึงแม้จะแพ้เรื่องสเปกหรือฟีเจอร์อื่น ๆ ไป แต่การที่ทางฝั่ง Sony เองก็มีเกม Exclusive อยู่มากมาย (ถึงแม้ว่าจะมีบางเกมหลุดมาลง PC) และผมเชื่อว่าทาง Sony อาจจะมีไม้เด็ดอะไรเก็บซ่อนไว้รอวันปล่อยออกมาก็เป็นได้ครับ