The Witcher Season 2 ผู้แสดง Eskel ขอถอนตัวจากการถ่ายทำเพราะ COVID-19

งานนี้คงล่าช้ากว่าเดิมไปอีกแน่นอนสำหรับการถ่ายทำซีรี่ส์ The Witcher Season 2 ที่จะฉายบน Netflix หลังจากที่ใน Season 1 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แล้วอย่างที่ทราบกันในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีการประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในผลงาน Season 2 หนึ่งในนั้นก็คือ Thue Ersted Rasmussen ที่ตัวเขาจะได้รับบทบาทเป็น Eskel ในซีซั่น 2 ของ The Witcher เป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่เป็นเพื่อนกับ Geralt

ในช่วงแรกหลังจากที่มีการเปิดกองเริ่มผลิตถ่ายทำในช่วงแรกเขาก็สามารถถ่ายได้ปกติแต่แล้วเนื่องด้วยเหตุการณ์กลางเดือนมีนาคมมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา COVID-19 เลยเป็นเหตุที่ทำให้การถ่ายทำซีรี่ส์ต้องหยุดชะงักลงไป

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการเริ่มถ่ายทำอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าตารางงานใหม่ของทาง Thue Ersted Rasmussen จะไม่เอื้ออำนวยในการถ่ายทำอีกแล้วเพราะความล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดไว้มากทำให้เขาตัดสินใจที่จะยกเลิกการถ่ายทำซีรี่ส์ที่ตัวเองได้รับบทเป็น Eskel ลงซึ่งตัวเขาได้ประกาศผ่านทาง instagram ส่วนตัวพร้อมกับโพสต์ข้อความไว้ว่า "เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับการที่ต้องปรับเวลาตารางใหม่ของผม เนื่องจาก COVID-19 ทำให้ผมไม่สามารถรับบทเป็น Eskel ใน The Witcher ได้แน่นอนว่ามันเจ็บปวดใจมาก"

ดังนั้นแล้วเราจะต้องรอดูประกาศจากทีมงานอีกครั้งว่าใครจะมาเป็นผู้รับบท Eskel ต่อหรือจะมีการปรับโครงเรื่องแทนเดียวต้องรอติดตามกัน Eskel เป็นตัวละครหนึ่งในเพื่อนของพระเอก Geralt ของเรื่องถูกกำหนดให้ปรากฏตัวที่ Kaer Morhen ในกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันตัวละครนี้ถือว่าโดดเด่นไม่น้อยถ้าใครที่เคยเล่นเกมมาจะเห็นการปรากฏตัวของเขาอยู่บ่อยๆ ใน The Witcher 3: Wild Hunt.

จริงแล้วๆ The Witcher หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าที่จริงแล้วจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์สุดมันส์นี้มาจากนวนิยายชื่อดังที่แต่งขึ้นในปี 1992 โดยนักเขียนชาวโปแลนด์คุณ Andrzej Sapkowski ที่นำเสนอเรื่องราวแฟนตาซีของนักล่าปีศาจ ถ้าอิงตามต้นฉบับเนื้อเรื่องจะแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 เล่มในเล่มภาคสุดท้ายจะเป็น Season of Storms ในปี 2013 ซึ่งความโด่งดังได้ขยายขอบเขตไปเรื่อยๆ จากเดิมที่ตีพิมพ์อยู่ในโปแลนด์อย่างเดียวในภายหลังก็มีการเริ่มนำไปแปลวางจำหน่ายในประเทศอังกฤษแล้วก็กลายเป็นนวนิยายชื่อดังนับแต่นั้นมา จนทำให้ทางผู้พัฒนา CD Projekt Red ได้มีการหยิบเอาเนื้อเรื่องและธีมของนิยายเรื่องดังกล่าวมาพัฒนาเป็นเกมทั้งหมด 3 ภาคด้วยกัน