รีวิว Saints Row (2022) การกลับมาของแก๊ง The Saint ที่ไปไม่สุดสักทาง

รีวิว Saints Row (2022) การกลับมาของแก๊ง The Saint ที่ไปไม่สุดสักทาง

รีวิว Saints Row (2022) การกลับมาของแก๊ง The Saint ที่ไปไม่สุดสักทาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

(เป็นการรีวิวตัวเกมเวอร์ชั่น PC, Epic Games Store)

การกลับมาของแกงค์ The Saints หลังจากห่างหายภาคต่อไปนานหลายปีของเกมตระกูล Saints Row อีกหนึ่งเกมโคลน GTA ในยุคที่เกมตระกูล Open World กำลังบูม ก่อนจะสร้างแนวทางของตัวเอง แตกแขนงสไตล์เกมเพลย์ เนื้อหา และความบ้าทะลุจุดเดือดของเกม ทำให้ Saints Row สามารถสร้างเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครได้ และมีแฟนๆ ที่ชื่นชอบในตัวเกมกันอย่างมาก ก่อนจะเริ่มบ้าจนทะลุออกอวกาศ ข้ามมิติย้อนเวลากันไปในภาคที่แล้ว ครั้งนี้ทีมงาน Volition ก็ตัดสินใจรีบูต เริ่มนับหนึ่งใหม่หมดสู่จุดเริ่มต้นก่อตั้งแกงค์ตั้งแต่ศูนย์พร้อมลูกทีมชุดใหม่

ภาครีบูตนี้เปิดตัวมาได้ด้วยการถูกตั้งคำถามมากมายถึงคุณภาพของตัวเกม รวมถึงการเปิตตัวทีม The Saints ชุดใหม่ที่แฟนๆ เดนตายของเกมดูจะไม่ถูกใจเท่าไรนัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นคำวิจารณ์ที่ไม่แฟร์เท่าไรนัก เพราะลักษณะนิสัย รวมถึงหน้าตาของตัวละครลูกน้องเราทั้งสองชุดนั้นออกแบบมาตามสมัยนิยมมากกว่า และก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เข้ากับยุคสมัยเรานั่นเอง ซึ่งจากการเล่นจนจบแล้วก็ถือว่าเพื่อนๆ ของเราสามคนนี้มีคาแรคเตอร์น่าสนใจ และมีความแตกต่างที่ชวนให้ค้นหาอยู่เช่นกัน แม้จะไม่ Badass หรือบ้าพลังไปเลยเหมือนคาแรคเตอร์ชุดก่อนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมย้ายสถานที่ดำเนินเรื่องใหม่จากเมือง Stillwater ไปสู่เมืองกลางทะเลทรายสไตล์เดียวกับ Las Vegas ในชื่อเมือง Santo Ileso ซึ่งถูกคุมด้วยสามมหาอำนาจใหญ่ได้แก่ Marshall กองทหารรับจ้างที่ได้รับไหว้วานในการจัดการพวกแกงค์หัวรุนแรงในเมือง พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้ามากมาย, Los Panteros แกงค์สายซิ่ง ที่ชื่นชอบยานพาหนะและการแต่งรถ และสุดท้ายคือ The Idol กลุ่มสายปาร์ตี้ ที่มุ่งหวังปลดปล่อยคนจากทุนนิยมสามานย์ ซึ่งเราและเพื่อนๆ อีกสามคน Neenah, Kev, และ Eli ต้องเอาตัวรอดในเมืองนี้ไปพร้อมกับสถาปนาตัวเองเป็นมหาอำนาจใหม่ในโลกผิดกฎหมาย The Saints

เนื้อหาของตัวเกมออกแนวขายขำ ตลกเป็นจุดๆ ไปและไม่ได้เน้นการล้อเลียนบุคคล หรือปั่นประสาทสุดๆ เหมือนสมัยภาค 2 3 แล้ว นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ก็ยังยอมรับได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีมุมที่อยากจะบ้าหลุดโลกอยู่บ้างเหมือนสมัยภาค 4 เช่นกัน นับเป็นการพยายามเอาจุดเด่นของหลายๆ ภาคที่ผู้พัฒนาคิดว่าผู้เล่นชื่นชอบเอามาใส่ตรงนู้นตรงนี้ไว้เป็นพักๆ แต่ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่าเกม Saints Row นั้นดำเนินไปในแนวทางที่ต่างจากอีกเกมอย่าง GTA อย่างมาก มันไม่มีโฟกัสที่เนื้อเรื่องอยู่แล้ว ไม่มีความดาร์ค ความลึกซึ้งอะไรมากมาย ทำให้สิ่งที่น่าโฟกัสน่าจะเป็นส่วนของเกมเพลย์มากกว่า ว่าจะทำให้คนเล่นสมองไหล ลูกบ้าจัดเต็มได้แค่ไหน

เกมเพลย์ของภาคนี้ปรับลดความเหนือมนุษย์ลงไปโดยจะไม่มีความสามารถระดับซูเปอร์แมนอีกแล้ว แต่จะเป็นการปลดล็อคความสามารถ Skill และ Perk ต่างๆ เพิ่มขึ้นตามเลเวลที่เยอะขึ้นไปแทน โดยแม้ภาษาไทยแปลแล้วอาจจะคิดว่าเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วแยกกันโดย Skill จะแยกออกเป็นสองรูปแบบอีกได้แก่สกิลแบบกดใช้และทำงานอัตโนมัติ โดยพวกสกิลกดใช้เราจะเลือกได้แค่ 4 สกิลนำไปใส่ในช่อง Hot Key ที่เกมกำหนดไว้ให้เป็นสกิลที่ตลกๆ เวอร์ๆ และแอบเหนือมนุษย์นิดนึงให้สามารถเอาตัวรอดจากหลายๆ สถานการณ์ได้

สำหรับ Perk นั้นแตกต่างออกไป โดยจะเป็นการเสริมความสามารถตัวละครในหลากหลายด้านแทน เช่นการขับรถจะโฉบเฉี่ยวทำแต้มได้ง่ายขึ้น การเอาตัวรอดที่ถ้าใกล้ตายจะวิ่งหนีเร็วขึ้น หรือการทำให้ตัวละครของเราไม่สติแตกตอนโดนไฟไหม้ และยังยิงต่อสู้ได้ตามปกติ ซึ่งเจ้า Perk พวกนี้สามารถใส่ได้สูงสุด 5 อันด้วยกัน โดยจะต้องทำเงื่อนไขเป็น Challenge ของเกมเพื่อปลดให้ซื้อได้ และต้องใช้เงินอีกจำนวนมากเพื่อปลดล็อคอีกที เป็นส่วนการพัฒนาตัวละครเราที่ส่วนตัวแล้วไม่ปลื้มเท่าไร เพราะนอกจากจะใช้เวลานานในการปลดล็อคแล้ว ยังให้ผลตอบแทนไม่ดีพอ

ด้านของกันเพลย์ ภาคนี้ปืนก็สามารถปรับแต่งได้เช่นเคย มีการปรับเปลี่ยนสีของอาวุธ เพิ่มความสามารถ อัพเกรดปืนให้ทำความเสียหายได้มากขึ้น ยิงเร็วขึ้น โหลดเร็วขึ้นว่ากันไป ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามเนื้อเรื่องและเลเวลของตัวละครเราอีกที ซึ่งอาวุธของภาคนี้มีความหลากหลายอย่างมากแม้จะค่อนข้างเห็นได้ชัดว่าปืนไหนไม่ดี หรือปืนไหนเทพมีประโยชน์ แต่ก็อัพเกรดทดแทนได้อยู่ และปืนแต่ละแบบแม้จะออกแบบมาได้ต่างกัน มีพวกธาตุอย่างยิงแล้วติดไฟ หรือไฟช็อต แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรระดับเดียวกับเกมตระกูล Mass Effect อะไรพวกนั้น เหมือนพัฒนามาครึ่งๆ กลางๆ ใส่มาโชว์ในเทรลเลอร์ให้ดูมีเนื้อหาสาระมากขึ้น

ตัวของศัตรูก็มีจุดอ่อนง่ายๆ ที่เห็นได้ชัดคือการยิงหัวโดนความเสียหายมากขึ้น มีการติดเกราะเข้าไปให้ศัตรูบางตัวถึกทนทานขึ้นจนน่ารำคาญ แต่ดันมี AI ที่ไม่ฉลาดเอาซะเลย ไม่มีแผนการ ไม่มีหลบที่กำบังใดๆ เน้นการต่อสู้กันแบบไม่ค่อยมีแท็กติกเท่าไร เน้นอัดกระสุนกันว่าใครจะตายก่อนกันเสียมากกว่า ซึ่งของแถมอีกอย่างที่เกมให้มาคือการที่เราสามารถปิดฉากศัตรูได้แบบรวดเร็วด้วยการ Execution หรือกดใช้แล้วเราจะจัดการศัตรูที่ไม่มีเกราะได้ด้วยแอคชั่นเท่ๆ (หรือบ้าบอ สติแตก) แล้วทำให้เราได้เลือดคืนมาบางส่วนแทน ซึ่งก็มีทั้งข้อดีคือเกมง่ายขึ้น แต่ข้อเสียคือมันขัดจังหวะการยิงต่อสู้ในการไปเลย เพราะแทนที่จะเล่นเพลย์เซฟเพื่อความปลอดภัย หรือใส่สุดลูกบ้าแบบไม่ต้องกลัวตาย เรากลับต้องเล่นแบบกลัวตายในบางครั้งโดยการวิ่งไป Execute ศัตรูตัวเล็กตัวน้อยเติมเลือดของเราไปแทน

ระบบมิชชั่นของเกมจะยังกดรับได้จากมือถือเช่นเคย โดยจะให้โบนัสและรางวัลที่แตกต่างกันไปตามสไตล์ของคนให้ภารกิจ ซึ่งนอกจากการดำเนินเรื่องหลักไปพร้อมมิชชั่นแล้ว ยังมีมิชชั่นเสริมอีกมาก ทั้งการไล่เก็บ Collectible หรือของสะสมในโลกของเกม การถ่ายรูปสิ่งของแปลกๆ และจะเอามาวางไว้ในบ้านของเราเองได้ การทำงานผิดกฎหมายหลายรูปแบบทั้งเก็บคนตามใบสั่ง การรับจ้างคุ้มกันขบวนรถ หรือแม้แต่ของง่ายๆ อย่างแค่ไปซื้อของจากร้านค้าต่างๆ ในเมืองให้ครบก็ตาม ล้วนให้ผลตอบแทนที่น่าพึ่งพอใจและช่วยให้ตัวเราเก่งขึ้นทั้งด้านความสามารถทางกาย และอุปกรณ์อย่างปืนที่เราจะได้ใช้เยอะขึ้น

เกมมีส่วนเสริมที่น่าสนใจและทำได้ดีในส่วนของระบบ Criminal Venture เป็นการที่เราจะได้ไปวางธุรกิจของตัวเองไว้ตามจุดต่างๆ ในตัวเมืองซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกเพื่อให้สถานที่นั้นทำเงินให้เราเป็น Passive Income โดยมีจุดน่าสนใจอย่างการที่แต่ละสถานที่มีสตอรี่ไม่ซ้ำซาก มีวิธีการช่วยให้ธุรกิจของพวกนั้นเติบโตได้ไม่เหมือนกัน (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่วิธีถูกกฏหมายหรือคนธรรมดาใช้กัน) ตั้งแต่ไปขโมยรถขนของมาลงที่ร้านเรา ไปยิงปืนไล่ลูกค้าจากร้านอื่นมาลงร้านเรา และมินิเกมอีกจำนวนมากที่ให้ความแตกต่างด้านเกมเพลย์ที่บ้าบอตามรสชาติของเกมตระกูล Saints Row

การแต่งตัวละครของเราในเกมนี้เกมนำเสนอได้ดี มีอิสระการแต่งที่สูง ทั้งในด้านของเพศตัวละคร เสียงพูด หน้าตาสีผิว คือสร้างได้ตั้งแต่คนธรรมดา หุ่นยนต์แอนดรอยด์ ยันเอเลียนหลุดโลกต่างมิติ ซึ่งน่าเสียดายตรงที่เกมต้องการเงินที่เราหาได้ไปลงทุนกับตรงนี้ค่อนข้างมาก บางชุดหลายหมื่น ซึ่งกว่าจะมีอิสระตรงนี้จริงๆ ก็คือใกล้จบเกมไปแล้วที่เราจะหาเงินจำนวนมากมาลงทุนกับการปรับแต่งตัวละครของเราได้

ทางผู้พัฒนาเองก็ดูเอาใจใส่ และอยากโปรโมทฟีเจอร์ด้านนี้มาก มีการทำเว็บไซต์รวบรวมคาแรคเตอร์ดีไซน์ของผู้เล่นทุกคนไว้ให้ แถมยังสามารถเข้าถึงตัวละครที่คอมมูสร้างได้จากในเกมด้วย ซึ่งเราสามารถหยิบเอาตัวละครของคนอื่นที่เขาอัพโหลดไว้มาใช้เองหรือปรับแต่งให้เข้ากันได้ แค่ต้องจ่ายเงินซื้อพวกชุดหรือเครื่องประดับของตัวละครเหล่านั้นที่เราโหลดมาด้วย

จุดที่พังและทำให้เกมรู้สึกเล่นไม่สนุกที่สุดคือส่วนของบั๊กหรือกลิชของเกมที่พบเห็นได้ทั่วไปตลอดการเล่นของเกม ซึ่งภาคนี้น่าจะนับว่าแย่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมาของเกมซีรีส์ Saints Row ได้เลย มีหลายรูปแบบตั้งแต่ร้ายแรงอย่างเกมปิดตัวไปเอง ภาพค้างบางจังหวะ การบังคับตัวละครมีปัญหาในบางจุด ปุ่มบางปุ่นกดไม่ได้ในบางจังหวะ ตัวละครวาร์ปเข้ารถทันทีแบบไม่ต้องมีแอนิเมชันเดินขึ้นไปให้ทั้งตัวเราและตัวเพื่อนของเรา ซึ่งจากการที่เราได้ลองไปหาข้อมูลดูก็พบว่าเพราะตัวเกมใช้เอนจิ้นเดิมจากอีกเกมของค่ายอย่างเกม Agent of Mayhem ซึ่งเป็นอีกเกมที่มีบั๊กจำนวนมากเช่นกัน ทำให้นี่น่าจะเป็นเกมที่มีบั๊กให้เห็นเยอะมากที่สุดของปีนี้เลยทีเดียว (เพราะ Cyberpunk 2077 เป็นของปีที่แล้วไป)

Review Score: 6/10

เป็นการรีบูตปลุกชีพศพขึ้นมาที่สภาพไม่สวยเท่าไรนักของเกมซีรีส์ Saints Row ทีมงานผู้พัฒนาดูมีความต้องการที่จะทำให้เกมของพวกเขากลับสู่จุดที่คนชื่นชอบจริงๆ ทั้งความบ้าบอ สติแตกกำลังดี และคาแรคเตอร์ที่มีความแปลกใหม่น่าสนใจ แต่ปัญหาคือมันไม่พอ ความบ้าบอก็มีไม่พอ การ Role-Playing ก็มีไม่พอ ระบบต่อสู้ที่แปลกประหลาด และครึ่งๆ กลางๆ จะใส่สุดก็ไม่ใช่ จะเน้นความสมจริง ความเรียลก็ไม่เชิง เพื่อนๆ ในทีม The Saints ที่ไม่สุดโต่งเหมือนชุดที่แล้ว แต่ออกแนวเด็กๆ วัยรุ่นซะมากกว่า ประจวบเหมาะกับจำนวนบั๊กและกลิชในเกมที่ดูจะมากเกินไปหน่อยแม้จะเทียบกับเกม Open World ตามปกติแล้วก็ตาม(แต่ไม่ถึงขั้นหายนะแบบ Cyberpunk 2077) ก็เป็นการออกสตาร์ทใหม่ของเกมตระกูลนี้ที่ไม่ดีเท่าไรนัก อาจจะต้องไปรอลุ้นเอาภาคหน้าแทน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook