รีวิวเกม Pokemon Scarlet & Violet การกลับมาแบบ OpenWorld ที่สนุกแต่ยังไม่สุด

รีวิวเกม Pokemon Scarlet & Violet การกลับมาแบบ OpenWorld ที่สนุกแต่ยังไม่สุด

รีวิวเกม Pokemon Scarlet & Violet การกลับมาแบบ OpenWorld ที่สนุกแต่ยังไม่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากเปิดตัวกับแนวทางใหม่ในภาค Pokemon Legends: Arceus ที่ใส่ความเป็นแอ็กชันและโลกกว้าง ๆ ให้สำรวจเป็นครั้งแรกของซีรีส์ Pokemon ทำให้ผู้สร้างประกาศว่าภาคใหม่อย่าง Pokemon Scarlet & Violet จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเกมในตำนาน

ทำให้การกลับมา Pokemon Scarlet และ Pokemon Violet ถูกจับตามองอย่างมาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่ซีรีส์ Pokemon ภาคแรกที่ออกบน Nintendo Switch แต่ก็เป็นภาคหลักที่ยอมปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย และยังมาพร้อมกับงานออกแบบตัว Pokemon และฉากกว้างระดับที่เรียกว่า Open World ยิ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในเกมที่มีแฟน ๆ รอเล่นมากที่สุดในปี 2022

เรื่องราวในภาคนี้จะมาแปลกแตกต่างเช่นกัน เพราะเราจะรับบทเป็นนักเรียนในโรงเรียน Naranja (ในภาค Scarlet) และโรงเรียน Uva (ในภาค Violet) ที่จะสอนเกี่ยวกับ Pokemon และมีภารกิจต้องสำรวจโลกกว้างที่ภาคนี้จะมีชื่อภูมิภาค Paldea ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศ สเปน และ โปรตุเกส ทำให้มีงานออกแบบดูเป็นยุโรปพอสมควร ถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกให้ตั้งแต่เริ่มเกม

กราฟิกธรรมดาไม่โดดเด่น

เป็นที่น่าเสียดายเพราะไหน ๆ จะเป็นภาคที่เปลี่ยนแปลงและเป็นแนวทางใหม่ของซีรีส์ แต่กราฟิกใน Pokemon Scarlet & Violet กลับทำออกมาได้ธรรมดามาก ๆ แทบไม่แตกต่างจากภาคก่อนที่ดูดีหน่อยก็รายละเอียดของตัว Pokemon และเสื้อผ้าของตัวละครที่พอจะมีความละเอียดบ้าง แต่ฉากถือว่าดูเหมือนเกมสมัย PS3 หรือฉากในบางจุดจะเหมือนเกมบน PS2 เลยด้วยซ้ำ แถมเฟรมเรตก็ตกยังมีอาการฉากโหลดไม่ทันอีกทำให้การเล่นติดขัดในบางจุด

คาดว่าสาเหตุปัญหากราฟิกที่ไม่พัฒนาเนื่องจากโลกกว้าง ๆ ที่ภาคนี้ใส่เข้ามาแบบจัดเต็ม เราสามารถเดินทางไปได้แทบทุกที่ ทำให้ต้องลดทอนรายละเอียดกราฟิกลงไปเพื่อให้สามารถเล่นบน Nintendo Switch ได้ถือว่าน่าผิดหวังไปหน่อย ก็ต้องรอภาคต่อไปที่หากมันจะออกบนคอนโซลรุ่นใหม่ของปู่นินน่าจะทำได้ดีกว่านี้

วกกลับมาดูที่เพลงประกอบก็ทำได้ดีตามแนวทางซีรีส์ Pokemon แต่ไม่ได้โดดเด่นเน้นลูกเล่นแบบเดิม ๆ แต่ก็มีการแต่งเพลงให้เข้ากับแนว Open World ที่มีความยิ่งใหญ่ของฉาก นอกนั้นก็เหมือนกับภาคก่อนหน้านี้ แต่ที่น่าผิดหวังมาก ๆ คือจนป่านนี้แล้วเกม Pokemon ก็ยังคงไม่มีเสียงพากย์เหมือนเดิมทำให้มันดูเชยไปหน่อยแต่สำหรับแฟนเกมก็คงไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว

เกมเพลย์ Open World ที่แท้จริง

รูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือโลกใบใหม่ที่มีความกว้างระดับที่เรียกว่าเป็น Open World ได้ แม้จะไม่ได้ใหญ่ที่สุดแต่ก็มีอะไรให่สำรวจมากมาย และมีภูมิประเทศที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นทุ่งหญ้าหรือภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยหิมะ ที่เราเดินทางไปได้เกือบจะทั่ว และที่น่าประทับใจคือเกมเพลย์จะไม่เป็นเส้นตรงเดินตามที่ผู้สร้างกำหนดอีกต่อไปแล้ว เพราะผู้เล่นมีอิสระในการเลือกเส้นทางได้เอง

ซึ่งแปลว่าเราจะเลือกไปต่อสู้กับยิมไหนก่อนก็ได้ตามใจบนแผนที่กว้าง ๆ แบบไม่มีอะไรปิดกั้น แต่การเล่นทางก็ต้องคำนวนว่าต้องเดินทางไกลแค่ไหนรวมทั้งอุปสรรคในฉากที่แตกต่างกันด้วย และผู้เล่นมีตัว Pokemon พร้อมจะรบหรือไม่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มันแตกต่างจากภาคก่อนหน้านี้ และในโลกกว้างนี้มีกิจกรรมย่อยให้ทำเช่นการหาไอเทมพิเศษที่ซ่อนอยู่ในฉาก นอกจากนี้ยังมีระบบกลางวันกลางคืนรวมทั้งสภาพภูมิอากาศเช่นฝนตกที่ต้องมีในเกมแนว Open World ด้วย

และสิ่งที่ทำให้การท่องโลกได้รวดเร็วขึ้นคือการขี่ตัว Pokemon ในตำนานที่อยู่บนหน้าปกของเกม ที่ในภาคนี้คือ Koraidon และ Miraidon ที่มีความโดดเด่นคือมันแปลงร่างเป็นมอเตอร์ไซค์ได้ และยังกระโดดได้ทำให้เราสามารถเดินทางได้หลากหลายกว่าเดิม และยังอัปเกรดเพิ่มให้มันสามารถบินบนท้องฟ้าหรือลงไปวิ่งในน้ำได้ รวมทั้งยังใช้ในโหมดเล่นกับเพื่อนได้ด้วย เรียกว่าเป็นของใหม่ที่ทำให้น่าสนใจ และเข้ากับเกมเพลย์ที่เปลี่ยนไปเพราะมีฉากที่กว้างกว่าเดิม

ปรับเปลี่ยนแต่ไม่ทิ้งของเดิม

สิ่งที่ Pokemon Scarlet & Violet ไม่เหมือนกับ Pokemon Legends: Arceus คือระบบการต่อสู้ที่ภาคนี้ถือว่าเป็นเกมหลักของซีรีส์ ทำให้มันยังคงไม่ทิ้งของเดิม ๆ เช่นตัว Pokemon ป่าจะไม่โจมตีตัวละครมนุษย์โดยตรง และเกมเพลย์ในฉากต่อสู้จะเป็น RPG เทิร์นเบสใส่คำสั่งแล้วผลัดกันโจมตีเหมือนเดิม แต่จะไม่มีการตัดเข้าฉากต่อสู้แล้ว เราจะต่อสู้กันบนแผนที่หลักที่เป็นโลกกว้าง ๆ เลยถือว่าทำให้มันดูทันสมัยและยังไม่ทิ้งความคลาสสิก แต่ยังใส่ของใหม่ผสมผสานอย่างระบบการพบเจอตัว Pokemon ป่าที่จะวิ่งอยู่ในฉากเลยไม่ได้เจอแบบสุ่ม

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ Pokemon Center จะมีอยู่มากกว่าเดิมเพราะฉากมีขนาดใหญ่ทำให้ต้องเติมพลังกันบ่อยกว่าเดิม และใน Center จะมีสิ่งใหม่คือเครื่องสร้างไอเทม TM มี่จะช่วยเพิ่มท่าไม้ตายใหม่ให้ Pokemon ที่เราต้องหาของมาสร้าง ทำให้ผู้เล่นต้องออกค้นหาวัตถุดิบที่ซ่อนอยู่ในฉากแต่ก็หาได้ไม่ยากนัก และมีระบบเป็นรูปภาพเข้าใจง่ายมากมือใหม่ก็เล่นได้

มาพร้อมระบบใหม่

แต่แฟน Pokemon อาจจะต้องวางแผนการเล่นกันมากกว่าเดิม เพราะในภาคนี้ถือว่ามีความยากกว่าภาคก่อนอยู่ เนื่องจากเกมมีอิสระในการเดินทางทำให้บางครั้งเราไปเจอฉากที่มีตัว Pokemon เลเวลสูงก็จะเจอความยากจนต้องหนีมากกว่าสู้ บอสหรือหัวหน้ายิมในภาคนี้ก็ปรับให้เราต้องทำภารกิจก่อนถึงจะได้พบเจอ และแต่ละยิมจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันด้วย ส่วนหัวหน้ายิมก็มาแบบสุดแนวและมีอะไรให้ประหลาดใจตลอดการเล่น แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในซีรีส์ Pokemon แต่เสียดายที่ภารกิจย่อยก่อนเจอหัวหน้ายิมบางฉากทำออกมาง่ายและน่าเบื่อไปหน่อย

และอีกของใหม่ที่ใส่เข้าในภาคนี้ร่างเพชรหรือที่เรียกว่า Terastallize ที่เมื่อกดใช้งานแล้วตัว Pokemon ของเราจะเปลี่ยนเป็นร่างกายเหมือนกับอัญมณีที่สวยงามและจะเพิ่มพลังให้ด้วย นอกจากนี้เรายังใช้โหมดนี้ได้กับ Pokemon ทุกตัวที่เรามี ส่วนโหมดใหม่ที่เพิ่มความสนุกคือ Tera Raid Battle ที่เป็นการรวมทีมเล่นกับเพื่อนออกไปต่อสู้กับร่าง Terastallize ของ Pokemon ที่เกมกำหนดไว้ได้ ที่เป็นกิจกรรมตามช่วงเวลาที่เล่นแบบออนไลน์ได้ด้วย

การกลับมาของ Pokemon Scarlet & Pokemon Violet ถือว่าเป็นการเปลี่ยนที่ดี สามารถผสมผสานกับเกมแนว Open World ได้ลงตัวไม่ทิ้งของเดิมและเสริมของใหม่เข้ามามากมาย แต่ที่มันยังไม่สุดเพราะสเปกเครื่อง Nintendo Switch ยังไม่แรงพอที่จะทำกราฟิกให้ดูดีกว่านี้ และยังพบปัญหาภาพกระตุกเฟรมเรตตกอยู่ แต่หากมองข้ามไปมันเป็นหนึ่งในเกมที่ไม่ควรพลาด ใครอยากเห็นภาพสวยกว่านี้ก็ต้องรอเล่นภาคต่อไปก็แล้วกัน

 

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ รีวิวเกม Pokemon Scarlet & Violet การกลับมาแบบ OpenWorld ที่สนุกแต่ยังไม่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook