รีวิว Diablo IV เกม RPG ระดับตำนานที่คืนฟอร์มกลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม
(เป็นการรีวิวตัวเกมเวอร์ชั่น PC)
RPG ระดับตำนานที่หลายคนไม่เคยลืมและสนุกจนเป็นมาตรฐานของเกม RPG ในยุคต่อๆ มามากมาย Diablo และไม่ว่าจะออกมากี่ภาคก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนๆ เสมอ และตอนนี้ Blizzard กลับมาแล้วในภาคล่าสุดกับ Diablo IV ซึ่งจะสนุกเหมือนที่ผ่านๆ มาหรือไม่ผมจะมารีวิวให้เพื่อนๆ ดูกัน เผื่อใครกำลังจะตัดสินใจซื้อ จะได้ไม่ซึม
เนื้อหาภาคนี้จะต่อจากภาค 3 เลย โดยผู้คนในโลกล้มตายไปมากหลังเหตุการณ์ Reaper of Soul แถมยังใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น อาจจะมีสถานที่ ที่พอจะตั้งตัวได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่แทบจะเหลือแต่ซากทั้งนั้น เมื่อ Lilith มารดาผู้สร้างมนุษย์ ได้ฟื้นกลับขึ้นมาในแผ่นดิน Sanctury จึงเกิดศึกตีกันระหว่าง มนุษย์ เทพ และปีศาจอีกครั้ง
ตัวเราเป็น นักรบพเนจร ผู้ตกกระไดพลอยโจน เข้ามาในสมการนี้ ต้องเป็นผู้กอบกู้จำเป็นในการต่อสู้กับ Lilith เพื่อหยุดแผนของนาง ซึ่งเนื้อเรื่องค่อนข้างที่จะแยกออกมาเป็นของตัวเองไม่ต้องเคยเล่นภาคเก่าๆ ก็สามารถเข้าใจได้ เพราะมีการเล่าท้าวความให้ผู้เล่นในระดับหนึ่ง เพื่อนๆ จะได้พบการนำเสนอเนื้อเรื่องคล้ายๆ ภาค 2 แต่มีความดิบเถื่อนกว่า ภาค 3 ใครที่ชอบแนวภาค 2 ต้องถูกใจเนื้อเรื่องภาคนี้แน่นอนครับ
ส่วนเรื่องความสนุกหรือเข้มข้นของเนื้อเรื่องนั้น ทั้งตัวร้ายและฝ่ายเรานั้น มีมิติ ดูมีเหตุผลที่ต้องทำให้เป้าหมายตัวเองสำเร็จ ทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น NPC ที่เป็นพวกเราก็ไม่ได้คอยยืนสั่งอยู่เมืองแล้วให้เราไปสู้ แต่จะเดินทางจญภัยไปกับเราด้วย ทำให้เราอินกับเกมได้มากขึ้น ทั้งในแง่ของความสัมพันธ์กับตัวละคร และการผจญภัย ส่วนตัวร้ายก็นำเสนอได้ดี และไม่ได้เป็นแค่ปีศาจที่รอเราเก่งแล้วไปตีมันเฉยๆ อีกต่อไป พวกมันก็มีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอ แต่แม้ว่าจะชมมาขนาดนี้ ด้วยความที่เป็นเนื้อเรื่องสูตรสำเร็จมากๆ ทำมาทุกภาคของเกม Diablo จึงคาดเดาได้ง่าย และขาดความตื่นเต้นไปอย่างน่าเสียดาย
ภาคนี้เป็นภาคแรกของเกม ที่ใส่ระบบ quest เสริมเข้ามาซึ่งก็ทำให้ผู้เล่นมีอะไรทำมากขึ้นไม่จดจ่อกับเนื้อเรื่องมากเกินไป แต่ก็มีทั้งแบบที่ดี และน่าเบื่อปะปนกันไป ถือว่าดูดเวลาได้ดีมาก ใครเผลอหลงไปทำ อาจจะทำให้จบเกมได้ช้าลงหลายสิบชั่งโมงเลยทีเดียว
สุดท้ายในหัวข้อเนื้อเรื่องนี้ที่ต้องขอชมเลยคือ คัดซีน การพูดคุยนั้นมีตลอดทั้งเกม เหมือนดูหนังยาวๆ ได้เรื่องหนึ่ง ตัวละครเรามีเสียงพากย์และทุกตัวละครพากย์เสียงมาได้ดีมากๆ บทเขาแน่นจริงๆ ดูมีชีวิตชีวา
ในภาคนี้แม้แก่นหลักของมันจะเป็น Action RPG ที่บู๊ล้างผลาญ สแปมสกิลรัวๆ อยู่แต่ก็มีจุดที่ต่างไปมาก เริ่มที่ภาคนี้จะนำเสนอเกมในแบบ Open World โดยไม่มีการแบ่ง Act ตามฉากต่างๆ แบบภาคเดิมอีกต่อไป แต่อนุญาตให้ผู้เล่น จะไปไหนก็ได้ตามใจ โดยตัวเกมจะคอยวาง เควส เหตุการณ์ หรือ เนื้อเรื่อง ตามที่ๆ เราเดินทางไป กระจายตามจุดสำคัญต่างๆ จะสำรวจหาของอัพของ Craft หรือจะทำเควสไปเรื่อยเสริมจำนวนมากก็ได้ โดยเกมจะปรับเลเวลศัตรูให้ตรงกับเรา ไปไหนก็สู้ไหวไม่ใช่อยู่ๆ โดนตบหงายแน่นอน
หรือจะไปหาดันลงเก็บความสามารถต่างๆ หารูปปั้น Lilith ที่ซ่อนอยู่เพื่อเพิ่มค่าสถานะ หรือไปไล่หา Stronghold ป้อมปราการที่ถูกปิศาจยึดไว้ ตีให้แตก ปลดปล่อยพื้นที่ให้ชาวบ้านเข้ามาอยู่ก็จะเพิ่มเป็นจุดวาปให้เราได้อีก แถมมีภารกิจเสริมให้ทำเพิ่มอีก เรื่องให้ทำเยอะมากๆ เอาเวลาไหนนอนก่อน
และที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือระบบ ออนไลน์ เราจะเห็นผู้เล่นคนอื่นๆ ได้ ทั้งในเมืองและในแผนที่อื่นๆ ซึ่งเราสามารถทักทาย ขอร่วมปาร์ตี้หรืออะไรก็ว่าไปได้เลย ขนาดที่ว่าเพื่อนๆ อาจจะเก็บเลเวลอยู่แล้วเจอพื้นที่ Event ก็อาจจะมีคนมาช่วยได้ทันที คือไม่เหงาแน่นอน ส่วนใครกังวลว่าจะมาแย่งของกันก็สบายใจได้ ไอเทมที่ดรอปนั้นของใครของมันครับ
สำหรับเพื่อนๆที่ชอบสำรวจ คือแผนที่รอบนี้ใหญ่มาก วิ่งกันตีนแตก แต่โชคดีที่ภาคนี้มีม้าให้ขี่ครับ แต่ปัญหาคือกว่าจะได้ต้องผ่านเนื้อเรื่องไปไกลประมาณหนึ่ง แนะนำให้รีบเล่นเนื้อเรื่องไปให้ถึงช่วงรับม้าแล้วค่อยสำรวจจะดีกว่า ซึ่งม้าก็มีประโยชน์มากทั้งในการเคลื่อนที่และโจมตี และด้วยความที่มีระบบออนไลน์เข้ามา ทำให้เกมมีเนื้อหามากมายให้นำเสนอในส่วนนี้อีก เช่นการเข้าร่วม World Events ที่ให้ตีบอสที่โผล่มาในเวลาต่างๆ หรือ Legion Event ที่จัดทีมกันการบุกรังของเหล่าปีศาจ หรือใครสาย PVP ก็มี Field of Hatred ที่ให้เพื่อนๆ เข้าไปบวกกันได้อีก และของที่แย่งกันในโหมดนี้ก็สามารถเอาไปแลกของได้ด้วย
งานศิลป์ การออกแบบ และดนตรีประกอบ ของเกมนี้บอกเลยว่า มันดีมากๆ ทุกอย่างลงตัว เข้ากัน การออกแบบ ทุกๆ โซนมีความแฟนตาซีแนวดิบเถื่อน เข้ากับบรรยากาศโลกที่ล่มสลายแบบสุดๆ เพลงประกอบมีแยกกันในแต่ละโซนและเข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างดี รายละเอียดเล็กน้อยในฉากก็ดูใส่ใจมากเลยทีเดียว ทำให้เราอินกับเกมได้มากขึ้นกว่าเดิม แถมยังมีลูกเล่นทั้งการปีนเขา ไต่เชือก กระโดดข้ามเหว มุดลอดช่อง แม้ว่าไม่ได้มีผลอะไรกับเกมมากนัก แถมดูน่ารำคาญในบางครั้งที่ต้องลงจากม้าเพื่อปีนขึ้นลง แต่ก็ทำให้ฉากดูไม่เรียบเป็นแผ่นเดียว
ส่วนใครชอบเล่นเกมคนเดียว ก็อาจจะขัดใจที่มีคนอื่นมาวิ่งๆ ในแผนที่ เอาจริงๆ ถ้าอยากเดี๋ยวจริงๆ ดันเจี้ยนต่างๆ เวลาเราลงถ้าไม่มีตี้เราก็ลงไปคนเดียวครับ ไม่เห็นคนอื่นแน่ๆ ส่วนสายปาร์ตี้แต่ไม่มี PC ซื้อเล่นใน Console ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เจอกัน เพราะเกมรองรับระบบ Cross Play ตี้กันได้ เจอกันได้สบาย ถือว่า Blizzard ทำการบ้านมาดี
ในด้านเกมเพลย์เกมนี้จุดเด่นของมันก็คือ ระบบต่อสู้และคอนเทนท์หลังจบเกม การหาของมาอัพตัวละครให้เก่งขึ้น คือฟาร์มหาของ เก็บเลเวลไปเรื่อยๆ นั่นเอง
มาดูที่ระบบต่อสู้ก่อน แอนิเมชั่นการออกท่าทางต่างๆ ในภาคนี้จะช้าลงกว่าภาคก่อนนั่นหมายความว่า การต่อสู้ของภาคนี้จะช้าลง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีของศัตรูหรือของเรา แต่ช้าลงก็หมายความว่าศัตรูมีการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้เราต้องหาจังหวะกระโดดหลบ ซึ่งทุกตัวละครจะสามารถกระโดดหลบได้ 1 ครั้งใน 5 วิ และสามารถเพิ่มความสามารถของการกระโดดหลบได้ด้วยรองเท้าแบบต่างๆ
มุมกล้องของภาคนี้จะซูมเข้ามาใกล้ตัวละครเรามากขึ้น สำหรับผมแรกๆ รู้สึกอึดอัดไปนิด และชอบมีการโจมตีจากนอกมุมกล้องของเราแบบกำหมัดบ่อยๆ แต่พอชินแล้วก็รู้สึกดีขึ้น ทำให้เราได้เห็นดีเทลต่างๆ ของฉาก สกิล และท่าทางการต่อสู้ได้ชัดเจนขึ้น
ส่วนการแบ่งระดับความยากของเกมยังเหมือนเดิม โดยแบ่งเป็นโลกๆ โดยจะเพิ่มค่าประสบการณ์ เงินที่ดรอป แต่ความโหดของมอนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ศัตรูที่เคยตบชิลๆ ในโลกระดับ 2 พอขึ้น 3 อาจตีมันแทบไม่เข้า แถมมันสวนทีตาย ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้ทักษะในการควบคุมตัวละคร และอัพของให้โหดขึ้นเพื่อรับมือ
ภาคนี้มีการแบ่งคลาสเป็น 5 คลาสด้วยกัน ประกอบไปด้วย สายบวก Babarian นักฆ่าสายพริ้ว Rogue นักเวทย์ Sorceress หมอผี Necromancer และ Druid ผู้รักสัตว์ ซึ่งทั้งหมดมีการเล่นที่แตกต่างกัน ของที่ใช้ จุดอ่อนจุดแข็ง
ขอบ่นนิดว่าการสร้างตัวละครจะมีแค่หน้าตาตัวละครให้เลือก แถมมีน้อยด้วย หน้าซ้ำกันเยอะแน่นอน ในอนาคตต้องมีเอามาขายแน่ๆ หน้าตาตัวละครเนี่ย ในส่วนการพัฒนาตัวละครของภาคนี้ ระบบสกิลเป็นแบบ Skill Tree ทำให้เราต้องคิดล่วงหน้ากับการอัพสักหน่อย เพราะแต่ละสกิลมี Skill Passive เพิ่มความสามารถพ่วงมาด้วย เป็นตัวเลือกให้เรา โดยสามารถเลือกได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ถ้าเพื่อนๆ นึกภาพไม่ออก ยกตัวอย่าง Druid สกิลสายป้องกันของธาตุดิน มี Passive ให้เลือกระหว่างเมื่อกดใช้แล้วเพิ่มเลือด กับอีกอันคือกดใช้แล้วเมื่อโล่แตกจะระเบิดทำดาเมจ ทำให้เราต้องเลือกว่าจะอึดขึ้น หรือเพิ่มดาเมจที่ทำได้นั่นเอง แต่ถ้าใครกังวลว่าจะอัพผิด ไม่ต้องกลัวครับ รีเซ็ตได้ตลอด ใช้เงินนิดเดียว
และแต่ละคลาสจะมีระบบพิเศษที่จะปลดล็อกเมื่อตัวละครไปถึงระดับเลเวลที่ 15 โดยจะโผล่มาเป็นภารกิจพิเศษให้ไปทำ เมื่อภารกิจสำเร็จ ระบบพิเศษเหล่านี้จะเข้ามาเสริมความเก่งกาจและความสามารถของ Class ให้มีจุดเด่นเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป และช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับการพัฒนาตัวละครอีกด้วย
แต่พอเพื่อนๆ เล่นจนจบเกมแล้วและเลเวลถึง 50 เราก็จะไม่ได้แต้มสกิลอีกต่อไป แต่จะเจอกับ บอร์ดพลัง Paragon ที่พอเราเก็บเลเวลไป ก็จะได้แต้มมาอัพในส่วนนี้แทน โดยตัวบอร์ด Paragon นั้นเพิ่มความลึกให้กับการพัฒนาตัวละครอย่างมาก เพราะนอกจากช่องต่างๆ ในบอร์ดจะเพิ่มค่าพลังแบบพื้นฐานให้ตัวละคร บางช่องยังเพิ่มโบนัสพิเศษ และต้องมีเงื่อนไขบางอย่างเฉพาะ เช่นเพิ่มพลังโจมตี 10% และจะบวกให้เป็น 20% หากตัวละครมีค่า Str ถึงระดับที่กำหนด จะเห็นได้ว่าด้วยการวางเงื่อนไขแบบนี้ ค่า Status ที่อาจไม่สำคัญสำหรับบางตัวละครก็กลายเป็นมีความสำคัญขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันเองภาคนี้ค่า Status ต่าง ๆ ก็เพิ่มระดับความสำคัญให้มีประโยชน์มากขึ้น
นอกจากช่องธรรมดาตามที่ได้เล่ากันไป บางช่องยังมาพร้อมพลังพิเศษระดับ Legendary ที่อัพเกรดความสามารถตัวละครให้ล้ำยิ่งกว่าเดิม และบางช่องก็เป็นช่องใส่อักขระหรือที่ในเกมเรียกว่า Glyph ซึ่ง Glyph จะเป็น Item ที่สามารถ Drop ได้ในเกมและเราสามารถนำมาติดตั้งลงในช่องของบอร์ด Paragon เพื่อรับค่าพลังพิเศษ คือสำหรับคนขยันที่เก็บจนหมดกระดาน ก็มีกระดานใหม่ให้อีก เก็นจนหลอนแน่นอน
สำหรับภาคนี้เกรดของไอเทมจะถูกแบ่งออกเป็นหลักๆ ได้ตามสีแบบที่แฟนเกมคุ้นเคยกันดี ไล่ไปตั้งแต่ Normal Magic Rare และสองขั้นสุดท้าย Legendary และ Unique โดยไอเทมระดับ Legendary จะเป็นของสีส้มที่หล่นในทุกระดับความยาก ไอเทมเกรดนี้สามารถนำมาดึงเอาพลังพิเศษมาเก็บไว้ โดยพลังที่ถูกดึงออกมาตัวเกมจะเรียกว่า Aspect ซึ่งเราสามารถนำเอา Aspect ไปติดตั้งให้กับไอเทมชิ้นอื่นได้ตามที่ Aspect แต่ละอันกำหนด ส่วนใครชอบขั้นสุดก็ต้อง Unique แต่หายากมากซึ่งจะหาได้ในโลกระดับ 3 ขึ้นไป หรือพูดอีกอย่างก็คือต้องถึง End Game ก่อนถึงจะหาได้นั่นเอง
ส่วนการฟาร์มของหลังจบเกมไปแล้วก็มีระบบอย่าง Tree of Whispers คอยช่วยผู้เล่นโดยตัวเกมจะสุ่ม Event ให้ไปทำและได้แต้มมาแลกของ เปิดกล่องสุ่มกันไปอีก
ส่วนระบบอื่นๆเอาจริงๆก็คล้ายๆภาคเก่าๆ เช่น ตีบวก เจาะรู ใส่เพชร ซึ่งถ้าใครเคยเล่นภาคเก่ามาก่อน ก็ไม่ต้องทำความเข้าใจอะไรมากนักครับ และสุดท้ายก็คือระบบ Nightmare Dungeons เป็นการเปลี่ยนดันเจี้ยนปกติให้มีความยากสูงขึ้น แต่ยากขึ้นของก็ดีขึ้นตามโดยผู้เล่นจะเข้าไปลุยใน Nightmare Dungeons ได้ก็ต่อเมื่อได้รับ Nightmare Sigil หรือตราสัญลักษณ์พิเศษที่จะสุ่มมอบให้กับผู้เล่นผ่านการทำภารกิจของ Tree of Whispers
เมื่อเปิดใช้งาน Sigil ดันเจี้ยนที่กำหนดจะถูกเปลี่ยนความยากและมีอุปสรรคพิเศษเพิ่มขึ้นตามที่กำหนดในสัญลักษณ์ Sigil มีตั้งแต่อุปสรรคพื้นๆ เช่น Monster เลือดเยอะขึ้น โจมตีแรงขึ้น หรือแบบล้ำๆ เช่นมีสายฟ้าไล่ล่าผู้เล่น Monster ไม่สามารถโดน Stun หรือศัตรูอาจต้านทานธาตุไหนเป็นพิเศษ ซึ่งหากเรา Clear ดันเจี้ยนแบบ Nightmare ก็มีโอกาสที่เราจะได้รับ Sigil ที่ยากขึ้น ระดับสูงขึ้น คือของเล่นเยอะมากๆ ไม่เบื่อแน่นอน
ต่อมาดูกันที่ Performance ของเกมนี้กันบ้าง
คือเกมนี้ในบางจุดลื่นมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทางผู้เขียนพบจังหวะกระตุกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งการกระตุกนี้จะมาแบบสุ่ม อยุ่ดีๆ ก็กระตุกเฉยๆ แบบนั้นเลย โดยเมื่อกระตุกแต่ละครั้งจะกินเวลาประมาณ วิสองวิ คือไม่เป็นปัญหาถ้าไม่เกิดตอนตีบอส ส่วนด้านอื่นแบบเฟรมร่วงตอนโหลดเข้าคัดซีนหรือ วาร์ปไปสถานที่ใหม่นั้น อันนี้สามารถเข้าใจได้เพราะ แผนที่มีรายละเอียดและความกว้างที่ต้องโหลดซักหน่อย และเกมนี้จะไม่มีโหลดฉากในระหว่างอยู่ในแผนที่ แต่จะโหลดเฉพาะตอนลงดันเท่านั้น
ส่วนการบังคับทำมาได้ดี ใครที่ เล่น RPG บ่อยไม่มีปัญหาแน่นอน ในเรื่องของการใช้จอยก็ต้องชื่นชมในการเล่นใน PC ด้วย คือ ทำได้ดีมาก ใครที่เล่นบนคีย์บอร์ดจนตะคริวขึ้นนิ้วชี้ มาใช้จอยเล่นแทนสบายมาก
Review Score: 8.5/10
Diablo IV ถือเป็นเกมภาคต่อที่ทำได้ดี ระบบต่อสู้ที่สนุก การพัฒนาตัวละครที่ชวนติด ชวนเล่นซ้ำๆ คนที่เล่นจะต้องเสียเวลาชีวิตไปกับมันอย่างมากแน่นอน ถึงแม้การมาของระบบออนไลน์ต่างๆ จะไม่ถูกใจคนบางคน แต่ผมคิดว่าก็ทำให้คอมมูนิตี้ของเกมมีความกระตือรือร้นมากขึ้นครับ มีการนำเสนอเยี่ยมในทุกแง่มุม มีเนื้อเรื่องน่าติดตามระบบการต่อสู้ที่สนุกเร้าใจ แต่ขอติเล็กน้อยคือมันแพงมากสำหรับเกมนี้ และแม้ว่าเราจะซื้อราคาเต็ม ก็ยังมีการขาย Battle Pass อีก ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ชินแล้วละเพราะนับเป็นแบบแผนการขายของเกมค่าย Blizzard ไปแล้ว นอกจากนั้นก็จะขอหักเนื้อเรื่องที่เดาง่าย กับอาการกระตุกที่มาๆ หายๆ ไป