Train World กับวิวัฒนาการของหัวรถจักร

Train World กับวิวัฒนาการของหัวรถจักร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

Train World กับวิวัฒนาการของหัวรถจักร

หัวรถจักรไอน้ำ เป็นเทคโนโลยีเครื่องจักรที่ใช้งานกันในช่วงแรกของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งก็ใช้กันต่อเรื่อยมาจนถึงยุคล่าอาณานิคม จากข้อดีที่สามารถใช้บรรทุกของได้จำนวนมาก ต่างจากรถม้า ที่บรรทุกได้เพียงน้อยนิด จึงทำให้หัวรถจักรเป็นที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในดินแดนใหม่อย่างอเมริกาที่มีผู้คนเริ่มไปตั้งถิ่นฐานกันเยอะ ทำให้มีการวางเส้นทางรถไฟไปทั่วอเมริกากันตั้งแต่ในสมัยนั้นแล้ว ซึ่งหัวรถจักรในยุคนั้นมีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถบรรทุกสินค้าได้มากขึ้น บรรจุเชื้อเพลิงได้มากขึ้น เพื่อที่จะใช้เดินทางได้ในระยะทางไกลๆ เช่นเดียวกันกับในเกม Train World ก็จะมีหัวรถจักรรุ่นต่างๆ ที่ตัวเกมมีการอ้างอิงมาจากชื่อหัวรถจักรจริงๆในประวัติศาสตร์ จะนำมาให้ผู้เล่น Train World เลือกใช้ โดยเรียงตามประสิทธิภาพจากระดับเลเวลต่ำ ไปจนถึงเลเวลสูง ซึ่งรถไฟก็จะไฮเทคขึ้นเรื่อยๆ

การเลือกซื้อหัวจักรรถไฟ แต่ละครั้ง 1) ความรู้เรื่องหัวรถจักรเบื้องต้น หัวรถจักรรถไฟจะมีมาให้เลือกซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามระดับเลเวลของผู้เล่น โดยประมาณทุกๆ 10 เลเวล จะมีหัวรถจักรใหม่ๆออกมาขายหนึ่งรุ่น ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่ารถไฟรุ่นหนึ่งจะมีด้วยกัน 3 แบบ แต่ละแบบจะสามารถวิ่งได้ในระยะทางเท่ากันและสามารถลากตู้โบกี้ได้จำนวนเท่ากันด้วย ต่างกันแค่สี ราคา และความเร็วเท่านั้น ซึ่งรถไฟรุ่นใหม่ๆที่เพิ่มมานั้นจะลากตู้โบกี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทีละหนึ่งโบกี้ ยกเว้นรถไฟที่ซื้อด้วยเงินแคช (คริสตัล) ที่อาจมีความเร็วและตู้โบกี้มากกว่ารถไฟที่ซื้อด้วยเงินในเกม และผู้เล่นที่มีเลเวลสูงจะกลับไปซื้อรถไฟรุ่นเก่าๆไม่ได้แล้ว

2) ระยะทาง หัวรถจักรแต่ละรุ่นเดินทางได้ไม่เท่ากัน ซึ่งรถไฟรุ่นแรกๆจะเดินทางได้ใกล้มาก เนื่องจากมีขนาดเก็บเชื้อเพลิงที่เล็ก ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปส่งของยังเมืองไกลๆได้ ผู้เล่นจำเป็นต้องขายหัวรถจักรรุ่นเก่าๆออกไปและซื้อรุ่นใหม่มาใช้ หากต้องการส่งไปยังเมืองที่ไกลมากขึ้น สังเกตง่ายๆคือ หากเมืองไหนในแผนที่เส้นทาง มีไอคอน "ถังเชื้อเพลิงที่มีขีดกลาง" แสดงว่าหัวรถจักรรุ่นนั้นมีเชื้อเพลิงไม่พอที่จะเดินทางไปถึงนั่นเอง

3) จำนวนตู้โบกี้ หัวรถจักรใหม่ๆจะสามารถลากตู้โบกี้ได้มากขึ้น ดังที่กล่าวไปในข้อแรก แต่สิ่งที่ส่งผลตามมาก็คือเราจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเหมือนกัน เพราะการส่งสินค้าไปนั้นเราจะต้องใช้เงินลงทุนไปกับการซื้อสินค้าเสียก่อน ทำให้ยิ่งจำนวนตู้โบกี้มาก ราคาต้นทุนก็สูงตามไปด้วย การลดจำนวนตู้โบกี้ก่อนที่จะส่งรถไฟออกไป จะช่วยลดต้นทุนค่าสินค้าได้ และประหยัดเวลาบรรทุกสินค้าด้วย และรายได้จะลดลง แต่ระยะเวลาเดินทางยังเท่าเดิม และค่าประสบการณ์ยังคงได้เท่าเดิม

4) ค่าซ่อม ปัญหาชวนปวดหัวของนายสถานีรถไฟทุกท่าน ยิ่งรถไฟยิ่งไฮเทคมากขึ้นเท่าไหร่ ราคาค่าซ่อมรถไฟก็จะยิ่งแพงขึ้นๆเรื่อยๆ โดยเฉพาะรถไฟที่มีความเร็วสูง จะมีโอกาสพังมากกว่ารถไฟที่ความเร็วน้อย อย่างที่บอกไปในข้อหนึ่งว่า รถไฟแต่ละรุ่นแบ่งเป็น 3 ชนิด ซึ่งชนิดที่เร็วที่สุดจะมีอัตราพังมากกว่ารุ่นช้า และค่าซ่อมก็แพงกว่าด้วย ลองพิจารณากันดู ว่าจะเน้นเร็วแต่จ่ายหนัก หรือช้าๆได้กำไรงามๆ

5) รถไฟคริสตัล เป็นรถไฟที่ต้องใช้คริสตัล หรือเงินแคช ที่ได้จากการหมุนวงล้อ หรือเติมเงินซื้อเท่านั้น รถไฟคริสตัลมีข้อดีตรงที่ จะมีประสิทธิภาพดีกว่ารถไฟธรรมดาในรุ่นเดียวกัน หรือมีลวดลายสวยงามเป็นเอกลักษณ์ และยังมีรถไฟหุ้มเกราะที่ป้องกันโจรได้ 100% ด้วย รถไฟคริสตัลก็จะมีเพิ่มมาเรื่อยๆตามระดับเลเวลเช่นกันแต่ว่าจะมีราคาซื้อเท่าๆกันหมด ดังนั้นควรซื้อเมื่อระดับเลเวลสูงๆจะดีกว่า เพราะรถไฟซื้อด้วยคริสตัล แต่เวลาขายออกได้กลับเป็นเงินคอยน์นะ

ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถไฟ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับนายสถานีรถไฟแห่ง Wild West ทุกๆท่าน ^^

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook