การพัฒนาของเกมมือถือไปไวมาก จนอาจแซงหน้าทุกแพรตฟอร์ม
ถึงจะมีเครื่องเกม Next Gen รุ่นใหม่อย่าง PS 4 ออกมาบ้าง แต่กว่าเครื่องจะออกคงกินเวลาไปพอสมควรกว่าจะวางจำหน่าย แล้วด้านฝั่ง PC เกมก็แทบจะไม่กินสเป็คเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะกลุ่มผู้เล่นก็ซื้อฮาร์ดแวร์ตามไม่ทันเช่นกัน ส่วนเกมเล่นผ่านเว็บไซต์ก็พัฒนาคุณภาพตามมาเรื่อยๆ สามารถรันภาพ 3D สมจริงได้มากขึ้น แต่ยังติดข้อจำกัดหลายด้านอยู่ทำให้แทนที่เกม Client ไม่ได้เต็มที่
มือถือและแท็บเล็ตมีการพัฒนาประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ให้สูงขึ้นแทบจะทุกปี ซึ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังกลายเป็นอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันของวัยรุ่นและคนวัยทำงานส่วนใหญ่ ทำให้อาจจะมาแทนที่ฮาร์ดแวร์ในอนาคตอันใกล้ได้ง่ายด้วย มาดูกันดีกว่าว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เกม PC Console มีความแตกต่างที่ลดลงขนาดไหน
1997
ยุคสมัย Nokia เพิ่งเริ่มมีเกมงู เทียบได้ กับเครื่อง Commodore VIC-20 เมื่อ 17 ปีก่อนหรือในปี 1980 ยังเทียบกับเกม Console หรือ PC ที่มีสีสันในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้นไม่ได้
2001
ในปีนี้เป็นยุคที่มือถือเริ่มมีสี อย่าง Nokia 7650 ด้วยสีระดับ 8 Bit ส่วนเกมไม่ได้ต่างจากเดิมนัก ในขณะเดียวกันด้าน PS 2 ไปไกลถึงระดับ 3D ภาพสวยๆ ในปีเดียวกัน อย่าง Metal Gear Solid 2 แล้ว ไม่เห็นโอกาสที่จะตามได้ทันเลย
2005
ก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ เริ่มมีการใช้ Smart Phone ภาพแบบ 16 Bit ปรากฏบนจอมือถือได้แล้ว แต่เมื่อเทียบภาพจากเกม Sonic ยังพบว่าเทคโนโลยีห่างกันถึง 15 ปีอยู่ และ Smart Phone ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องเกินความจำเป็นในชีวิต
2007
Smart Phone เริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วแบบเห็นได้ชัด เกม 3D เริ่มเข้ามามีบทบาท ถึงภาพจะยังดูไม่สวยงามกว่า 2 ปีก่อนนัก แต่ก็เทียบได้กับเกมยุค Arcade ในปี 1995 ย่นระยะห่างระหว่างเทคโนโลยีเหลือ 12 ปี
2010
ช่วงมือถือ iPhone 3GS กำลังบูม ภาพที่เก็บรายละเอียดได้สูงกว่า N64 ปรากฏบนมือถือ แต่ยังไม่ถึงกับ PS 2 น่าจะเทียบได้กับเครื่อง Dreamcast เทียบปีของเกม Rayman ระหว่าง Dreamcast กับในมือถือ ถ้าคิดว่าภาพระดับพอๆ กันน่าจะห่างเพียง 10 ปีเท่านั้น
2012 – 2013
เกมบนคอนโซลและ PC เริ่มลงมือถือมากขึ้น เห็นความใกล้เคียงกันมากยิ่งขึ้น ถึงภาพจะยังไม่เนียบเท่าแต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้คิดว่า อีกไม่กี่ปีคงจะเพิ่มรายละเอียดภาพให้เท่าเทียมกันได้ แต่ด้วยขนาดจอมือถือ 4 – 5 นิ้ว หรือแท็ปเล็ต 7 – 10 นิ้วที่มีขนาดเล็กกว่าจอทีวี เรื่องภาพแตกบ้างหรือหยาบกว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
Gran Turismo 5 Prologue: PS3 (2008) กับ Real Racing 3: iOS (2012)
Forza 2: Xbox 360 (2007) กับ Real Racing 3: iOS (2012)
Halo 3: Xbox 360 (2007) กับ N.O.V.A. 3: iOS (2012)
Resistance: Fall of Man: PS3 (2006) กับ Dead Trigger: iOS (2012)
After Burner Climax: Arcade (2006), PSN (2010) กับ After Burner Climax: iOS (2013)
เทียบระยะห่างของเทคโนโลยี
ภาคในปี 2020 อาจจะเทียบชั้นกับเกม PC สบายๆ
สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจกราฟิกมากนัก จะมีตัวเลือกมากกว่า โดยเกมที่ไม่เน้น 3D เด่นด้านระบบเกม ก็สามารถพอร์ตลงมือถือสบายๆ อย่าง Bastion, Minecraft หรือ Anomaly: Warzone Earth จนไม่เห็นความแตกต่างระหว่างมือถือกับเกมต้นฉบับมากนัก
Bastion
ด้านเกมที่ใช้เวลาเล่นค่อนข้างเยอะแนว MOBA ก็ปรากฏในมือถือมากขึ้นอย่าง Heroes of Order and Chaos
ด้านเกมออนไลน์ ก็เริ่มมามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี โดยเฉพาะเกมในเกาหลีใต้ที่มีเกมใหม่ๆ มาตลอดและกำลังเปิดตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่ถึงจะไม่เน้นภาพ แต่อนาคตเมื่อต้องแข่งขันกันมากขึ้น คงจะได้เห็นเกมที่ภาพสวยงามยิ่งขึ้น
SF Net
Undead Slayer
อีกสาเหตุหนึ่งที่ในช่วงปีที่ผ่านมา ด้านผู้พัฒนาเกมคอนโซล, PC และออนไลน์หลายค่ายก็แบ่งทีมพัฒนาเกมมือถือมากยิ่งขึ้น เพราะเกมมือถือมีจุดเด่นที่ยืดหยุ่นหลายด้าน และดูมีอนาคตไกล ในขณะที่เกมที่เล่นบนแพตฟอร์มเดิมเริ่มเจอทางตันขึ้นทุกที อีกเหตุผลสำคัญอยู่ตรงเรื่องการซื้อเกมหรือการเติมเงิน ที่สะดวกกว่าบนแพตฟอร์มอื่น เพราะมีช่องทางการจ่ายจากผู้ให้บริการมือถือโดยตรง สะดวกกว่าระบบบัตรเติมเงิน จึงทำกำไรกับเกมเหล่านี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ดูจากแนวโน้มแล้ว คาดว่าอีกไม่กี่ปีภาพของเกมระดับ PS3, Xbox 360 ที่ใช้กราฟิกเต็มประสิทธิภาพ คงได้เห็นบนมือถือมากยิ่งขึ้น และคงมีการพัฒนาอุปกรณ์เสริมด้านการควบคุม เพื่อให้เล่นเกมคล้ายเครื่องเกมพกพาแบบ PS Vita หรือ 3DS มากขึ้นได้เช่นกัน
Sumsung เพิ่งเปิดตัวมือถือระดับ 8 Core และ จอยไร้สาย (รายละเอียดเพิ่มเติม)
อ้างอิงข้อมูลจาก Gamesradar, ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
สนับสนุนเนื้อหา
โดย AIR