5 ความเชื่อของผู้ใหญ่ ที่คิดว่าเกมส์เป็นสิ่งไม่ดี
คิดว่าเกมเมอร์ทั้งหลายน่าจะเกือบทุกคนแหละ ตอนเด็กๆเล่นเกมส์มักจะถูกผู้ปกครองสั่งห้ามไม่ให้เล่น โดยอ้างว่ามันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ (ยกเว้นผู้ปกครองเล่นเองด้วย คงไม่ห้าม) สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ความคิดของผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ ที่มีต่อเกมส์นั้น ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ต่างก็ยังคงคิดเหมือนเดิมว่าเกมส์เป็นสิ่งที่ไม่ดี และไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ผู้ปกครองเด็กๆต่างประเทศทั่วโลก ล้วนแต่มีความคิดเหมือนกันหมดเลยว่า เกมส์เป็นสิ่งไม่ดี โดยพวกเขามีเหตุผลอยู่ 5 ข้อ ที่มักจะบอกลูกหลานพวกเขาเสมอว่าเกมส์มันไม่ดีอย่างไร ลองมาดูกันสิ ว่าคุณเคยได้ยินคำสอนคำเตือนเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
1. เล่นเกมส์แล้วเสียสายตา
ความเชื่ออันดับ 1 ที่คิดว่าเกมเมอร์ส่วนมากต้องเคยได้ยินแน่ๆ โดยผู้ปกครองมักอ้างว่าเล่นเกมมากๆจะสายตาสั้น แต่จริงๆแล้วสาเหตุของสายตาสั้นมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สายตามองวัตถุในระยะใกล้บ่อยๆ อ่านหนังสือโดยใช้แสงสว่างไม่เพียงพอ ซึ่งการเล่นเกมก็เป็นหนึ่งในสาเหตุเหล่านั้น แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะจากผลวิจัยมาแล้วพบว่า การอ่านหนังสือในที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ส่งผลเสียต่อสายตามากที่สุด
75% ของเด็กเรียนที่ต้องอ่านหนังสือบ่อยๆ มักสวมแว่นตา
2. เล่นเกมแล้วนิสัยก้าวร้าว
อีกความเชื่อที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ 100% เหมือนกันว่าจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็มีโครงการจัดเรตติ้งเกม เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเล่นเกมรุนแรงก่อนถึงวัยอันควรจากความเชื่อนี้ แต่ว่าถึงจะจัดเรตติ้งไปก็ยังมีคดีต่างๆที่อ้างเกมเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ซึ่งทุกคดีก็ไม่มีมีเกมส์เกี่ยวข้องอย่างเดียว แต่กลับมีปัญหาโรคจิตบ้าง ปัญหาครอบครัว และอื่นๆมาปะปนด้วยเสมอๆ บวกกับเกมเมอร์คนอื่นๆอีกหลายล้านคนทั่วโลกกลับไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวพวกนี้เลย ก็เลยมีสรุปการวิจัยว่า เกมส์รุนแรงก็มีส่วนทำให้เด็กก้าวร้าวจริง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุหลักเสียทีเดียว
เล่นเกมรุนแรงแล้ว ไม่ให้ทำให้เด็กกลายเป็นฆาตกรร้ายได้ทันทีหรอกนะ มันขึ้นกับหลายสาเหตุ
3. เล่นเกมแล้วเสียสุขภาพ
สำหรับข้อดีก็เป็นข้ออ้างสำหรับห้ามเด็กไม่ให้เล่นเกมอยู่ดีครับ เพราะคนเราจะสุขภาพดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง ซึ่งหากคนที่จัดระเบียบการใช้ชีวิตได้ดี ก็จะแบ่งเวลาออกกำลังกายรักษาสุขภาพได้ แม้ว่าจะเล่นเกมส์ด้วยก็ตาม แต่ถ้าคนที่แบ่งเวลาไม่เป็น เล่นเกมตลอดไม่ออกกำลังกาย สุขภาพแย่ก็ไม่แปลก แถมพ่อแม่บางคนยังหลอกเด็กว่าเครื่องเกม จอคอม ทีวี แผ่รังสีพิษออกมาด้วย หากเล่นมากๆจะทำให้ป่วย
ที่ประเทศจีน มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เชื่อว่ามีรังสีออกมาจากคอมพิวเตอร์
4. เล่นเกมส์แล้วหาแฟนไม่ได้
เช่นเดียวกับข้อสามครับ ก็แค่ข้ออ้างหลอกไม่ให้เล่นเกมเท่านั้น ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วขึ้นกับชีวิตของคนเล่นเกมนั้นๆมากกว่า บางคนเล่นเกมแต่มีเมียมีลูก ก็มีเยอะแยะไป บางคนไม่เล่นเกมแต่กลับไม่มีแฟน ข้อนี้จึงไม่ใช่ข้ออ้างที่นำมาใช้จริงได้ ส่วนสาเหตุที่ผู้ปกครองมีความเชื่อเช่นนี้ ก็คงต้องโทษพวกโอตาคุ หลงรักสาว 2D ที่แต่งงานกับตัวละครในเกม จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลกนั่นแหละครับ
ถ้าเล่นเกมแล้วหลงสาวๆในเกม อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของคนมากกว่าครับ
5. เล่นเกมส์แล้วจะเหมือนติดยาเสพติด
เช่นเดียวกับข้อ 3 และ 4 อีกนั่นแหละครับ ปัญหาทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการควบคุมตัวเอง ควบคุมเวลาให้ได้เท่านั้น เราต้องเล่นเกม ไม่ใช่ให้เกมมาเล่นเรา หากควบคุมตัวเอง แบ่งเวลาเล่นเกมไม่ได้ จริงจังกับมันมากเกินไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนติดยาเสพติดนั่นเอง ซึ่งรูปแบบนี้มันไม่ได้มีแค่เกมเท่านั้น บางคนจริงจังกับภาพยนตร์และอื่นๆจนติดงอมเหมือนติดเกมก็มีถมไป ขึ้นอยู่กับระดับความหมกมุ่น ว่าเราหมกมุ่นกับสิ่งนั้นๆมากแค่ไหน เกมมันเป็นแค่อุปกรณ์บันเทิงเท่านั้น
ถ้าใครเคยเจอความเชื่อ คำสอน ของผู้ปกครอง ที่อ้างเพื่อห้ามเล่นเกมข้ออื่นๆอีก ก็สามารถแชร์กันได้นะครับ