แนะผู้ป่วย "โรคไต" เลี่ยงกิน "ทุเรียน" เสี่ยงอาการทรุด
กรมอนามัย ย้ำผู้ป่วยโรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจควรระวังการกินทุเรียน ควรกินแต่พอดีไม่เกิน 2 เม็ดต่อวัน ไม่มากไป ไม่ถี่ไป โดยเฉพาะโรคไตควรเลี่ยง หวั่นเสี่ยงอาการทรุด
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ทุเรียนจัดอยู่ในอาหารกลุ่มผลไม้ที่ให้วิตามินแร่ธาตุที่ดี และเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต แต่ก็เป็นผลไม้ที่กินแล้วร้อนภายในร่างกาย
การกินทุเรียน 1 เม็ดขนาดกลาง ให้น้ำตาล 18 กรัม พลังงาน 60 กิโลแคลอรี เทียบกับพลังงานในข้าวเกือบทัพพี ควรกินไม่เกิน 2 เม็ดต่อวัน และไม่กินถี่ทุกวัน เพราะอาจส่งผลให้น้ำหนักเกิน ร้อนใน เจ็บคอ
โดยสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ไม่ควรกินทุเรียนพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสูง เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ เพราะการกินของทั้งสองอย่างพร้อมกัน จะมีผลทำให้เอนไซม์กำจัดสารพิษที่ได้จากกระบวนการเผาผลาญแอลกอฮอล์ลดลง และทำให้เกิดอาการหน้าแดง ชา วิงเวียนและอาเจียน
ทั้งนี้ มีข้อแนะนำให้กินทุเรียนกับมังคุด เพราะในมังคุดมีสารต้านการอักเสบช่วยแก้เรื่องร้อนในและยังมีน้ำในปริมาณมากการกินทุเรียนกับมังคุดจึงเข้ากันดีมีใยอาหารสูงแต่ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำตาลที่แฝงมาในผลไม้
อีกทั้ง ในวันที่กินทุเรียนควรควบคุมอาหารประเภทข้าว แป้ง ขนมหวานควบคู่ไปด้วย เช่น กินทุเรียนแล้ว ก็ไม่ต้องซ้ำด้วยของหวานอื่น หรือถ้าจะกินทุเรียนวันนี้ก็ไม่ควรกินข้าวแป้งมากเกินไป รวมถึงไม่ควรกินข้าวเหนียวทุเรียนบ่อยเนื่องจากมีความหวานมัน
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดหัวใจตีบ-ตัน ต้องคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ดังนั้นควรกินทุเรียนแต่พอเหมาะ ไม่กินในปริมาณมากและไม่กินถี่ทุกวัน คือ กินไม่เกิน 1 เม็ดเล็กต่อวัน
นอกจากนี้ ทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยโรคไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินได้เท่าคนปกติ ผู้ป่วยโรคไต จึงควรเลี่ยงเพราะจะส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และยังต้องระมัดระวังในการกินทุเรียนแปรรูป อาทิ ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด ทุเรียนเผา เป็นต้น เนื่องจากมีน้ำตาลสูงมากกว่าทุเรียนสด