"การฆ่าตัวตาย" กำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลก
องค์การอนามัยโลกให้ตัวเลขว่า การฆ่าตัวตาย เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่สำคัญเป็นอันดับสองของกลุ่มคนอายุ 15 ถึง 29 ปีทั่วโลกทั้งยังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญในสหรัฐฯ ด้วย
โดยคุณ Jennifer Stone ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC กล่าวว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา อัตราการฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ นั้นเพิ่มขึ้นถึง 25%
คุณ Jennifer Stone บอกว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นปัจจัยเสี่ยง นับตั้งแต่การสูญเสียคนที่ตนรัก การถูกกลั่นแกล้งรังแก ปัญหาการเงิน การเสียทรัพย์สินที่สำคัญ เช่นที่อยู่อาศัย และการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็นต้น
แต่ 54% ของคนอเมริกันที่ฆ่าตัวตายนั้นไม่แสดงอาการผิดปกติทางจิตออกมา
อย่างไรก็ตาม นักจิตเวชบางคน เช่น นายแพทย์ Bashkin Kadriu แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของสหรัฐฯ แย้งว่า เมื่อมีการศึกษากรณีการฆ่าตัวตายนั้น มักจะพบว่า มากกว่า 90% ของคนเหล่านี้มีปัญหาสุขภาพจิตซึ่งไม่ทราบมาก่อน หรือไม่ได้รับการรักษา
นายแพทย์ Kadriu บอกด้วยว่า คนที่ผ่านวิกฤติของชีวิตอย่างรุนแรง และขาดความสามารถในการแก้ปัญหา มักมีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตาย
ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอีกคนหนึ่ง คือคุณ Paul Gianfriddo แห่งกลุ่ม Mental Health America บอกว่า การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ และสามารถที่จะนำวิธีต่างๆ มาช่วยเหลือได้
โดยคุณ Paul Gianfriddo บอกว่า ประเด็นเรื่องสุขภาพจิตนั้นจำเป็นจะต้องมีการค้นพบหรือได้รับการบำบัดรักษาเสียแต่เนิ่นๆ และเสนอแนะด้วยว่า ทุกคนควรจะได้รับการตรวจสุขภาพจิตเป็นประจำทุกปี
ส่วนนายแพทย์ Bashkin Kadriu แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติของสหรัฐฯ ก็เห็นด้วยว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่นำไปสู่การตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ก็มีวิธีป้องกันหลายอย่างเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้กลุ่มคนที่มีปัญหาเสี่ยงเข้าถึงอาวุธปืนได้ยากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ประเด็นที่สำคัญในการช่วยลดอัตราการการฆ่าตัวตายนั้นคนที่อยู่ใกล้ตัว และความสนับสนุนจากชุมชนนับเป็นสิ่งที่สำคัญ