รู้จัก “ตับอักเสบ” ทั้งชนิดหายได้เอง และเรื้อรังอันตรายถึงชีวิต
นอกจากสมอง และหัวใจแล้ว ตับก็เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกายไม่น้อย เพราะตับเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการใหญ่ของร่างกายที่เป็นที่รับเลือด เก็บรักษาสารอาหารที่มีประโยชน์ ตรวจสอบคุณภาพ แจกจ่ายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยังแยกของเสีย ของมีพิษ เช่น ยาเคมีรักษาโรค โลหะหนัก ทองแดง แอลกอฮอล์ ออกมาทิ้งให้อีกด้วย ดังนั้นหากตับทำงานผิดปกติขึ้นมา หลายๆ ส่วนในร่างกายก็อาจโดนผลกระทบไปด้วย
ตับอักเสบ เป็นอย่างไร?
ตับอักเสบ เป็นภาวะที่ตับเกิดอาการอักเสบจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ซึ่งอาจส่งผลให้ตับมีแผล มีรอยขรุขระ และหากไม่รีบทำการรักษา อาจทำให้กลายเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้
>> เช็กด่วน! ใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจคัดกรอง “ตับอักเสบ”
สาเหตุของการเกิดตับอักเสบ
- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี อี หรือเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น Cytomegalo virus (CMV) Epstein-Barr virus (EBV) Herpes Simplex virus (HSV) หรือเชื้อไวรัสไข้เลือดออก (Dengue) เป็นต้น
- ผลข้างเคียงของยาบางชนิด ทั้งยาแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการตับอักเสบเมื่อทานในระยะเวลานานๆ
- รับสารพิษต่างๆ เข้ามาในร่างกายมากเกินไป เช่น สารเคมี เห็ดพิษ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ตับเกิดอาการขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน จากการติดเชื้อโรคต่างๆ จนทำให้เกิดอาการอักเสบ
ประเภทของตับอับเสบ
- ตับอักเสบเฉียบพลัน
ตับอักเสบแบบเฉียบพลัน มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส และการใช้ยาบางชนิด ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะสีเข้ม ตาเหลือง หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จะสามารถหายได้เองภายในเวลา 6 เดือน - ตับอักเสบเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรังอาจเป็นการติดเชื้อที่หนัก หรือไม่ได้รับการดูแลรักษาให้หายในระยะแรกๆ จนปล่อยให้มีอาการอักเสบมากขึ้นเรื่อยๆ เรื้อรังมากกว่า 6 เดือน ความน่ากลัวอยู่ที่อาการตับอักเสบเรื้อรังนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็นจากภายนอก เซลล์ของตับถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับในที่สุด ซึ่งสาเหตุของอาการตับอักเสบเรื้อรั้ง ก็มีได้ตั้งแต่การดื่มแอลกอฮอล์ การได้รับสารพิษติดต่อกันเป็นเวลานาน โรคอ้วน หรือปล่อยให้ตับมีอาการอักเสบนานกว่า 6 เดือน เป็นต้น
>> 8 เรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบี
ตับอักเสบ ไม่มีอาการก็ตรวจได้
แม้ว่าอาการของตับอักเสบเรื้อรังจะไม่มีอาการบอก แต่เราสามารถตรวจหาค่าการอักเสบของตับได้จากการตรวจเลือดในระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี หรือจะเป็นการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี รวมถึงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี และซีได้อีกด้วย ดังนั้นตับอักเสบไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หากได้รับการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ มีโอกาสหายได้แน่นอน
>> ฟรี! ตรวจคัดกรองโรค "ไวรัสตับอักเสบบี และซี"
ลักษณะแบบใดที่จะไม่ทำให้ติด "โรคตับอักเสบ"
- การใช้อุปกรณ์ทำอาหารและช้อนส้อมร่วมกัน
- การใช้ห้องน้ำ หรือห้องสุขาร่วมกัน
- แมลงกัดต่อย
- การกอด
- ไอ
- การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
"โรคตับอักเสบ" มียารักษาให้หายหรือไม่ ?
ถึงแม้ว่า โรคตับอักเสบ จะไม่มียาที่ใช้รักษาอาการให้หายขาดได้ แต่ก็มียาช่วยควบคุมเชื้อไวรัส ช่วยลดความเสียหายของตับ และช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยาตัวนี้ยังช่วยให้ตับสามารถซ่อมแซมตัวเองได้อีกด้วย ซึ่งเมื่อผู้ป่วยเดินทางไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะแจ้งกับผู้ป่วยหากจำเป็นต้องใช้ยา นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะต้องเดินทางไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อผู้ป่วยได้รับแจ้งจากแพทย์ว่ามีความจำเป็นต้องใช้ยา แพทย์ก็จะส่งตัวผู้ป่วยให้ไปพบกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตับ โดยจะได้รับการอธิบายถึงตัวยาต่างๆ และยาชนิดใดบ้างที่ดีต่อการรักษา อีกทั้งยังมีความจำเป็นที่จะต้องพบผู้เชี่ยวชาญอยู่เป็นประจำเมื่อเริ่มใช้ยาและหากมีปัญหาในการใช้ยาก็ไม่ควรที่จะหยุดใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการใช้ยาอื่นๆ นอกเหนือจากการควบคุมของแพทย์ ผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญทราบ ว่ายาชนิดนั้นเป็นสมุนไพรที่มาจากธรรมชาติ หรือใช้การเยียวยารักษาอาการแบบดั้งเดิม เพราะการใช้ยานอกเหนือนั้นอาจมีผลต่อตับ หรือไประงับประสิทธิภาพของยาที่ได้รับการสั่งจ่ายทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ จากนั้นแพทย์ก็จะให้คำแนะนำว่าสมุนไพร หรือยาแผนโบราณชนิดใดที่ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงเมื่อเข้ารับการรักษา