ประโยชน์ "วิตามินดี" ที่มีประโยชน์มากกว่าบำรุงกระดูก

ประโยชน์ "วิตามินดี" ที่มีประโยชน์มากกว่าบำรุงกระดูก

ประโยชน์ "วิตามินดี" ที่มีประโยชน์มากกว่าบำรุงกระดูก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วิตามินดี นอกจากจะช่วยเรื่องการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสแล้ว ผลการศึกษาวิจัยครั้งใหม่นี้ยังพบ ประโยชน์ วิตามินดี ว่ามีส่วนในการช่วยรักษาโรคต่างๆ ด้วย และนี่คือรายละเอียด

วิตามินดีมีหน้าที่อะไร

นักวิทยาศาสตร์รู้กันดีว่าวิตามินดีคือสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ซึ่งถ้าใครขาดวิตามินดีก็จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของวิตามินดีนั้น ก็น่าจะเป็นในเรื่องการเสริมสร้างแคลเซี่ยมขื้นมาในร่างกาย ทำให้กระดูกมีความแข็งแรง และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

นอกจากนี้การศึกวิจัยครั้งใหม่ยังพบด้วยว่า วิตามินอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจวาย เบาหวาน มะเร็ง การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิต้านทานตัวเอง และอาการผมร่วง ซึ่งคนในยุคนี้มีอาการขาดวิตามินดีกันมากขึ้น เนื่องจากต้องนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศตั้งแต่เช้ายันค่ำ หรือแม้แต่ทาครีมกันแดด เลยทำให้ผิวไม่ได้รับการกระตุ้นจากแสงแดดในการสร้างวิตามินดีขึ้นมา อาการขาดวิตามินดีของแต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีอาการปวดบริเวณข้อต่อ กล้ามเนื้อ และกระดูก อ่อนเพลีย มีปัญหาด้านการหายใจ และมีภาวะซึมเศร้า

 

ประโยชน์หลากหลายของวิตามินดี

และนี่คือผลการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่าวิตามินดีส่งผลต่อโรคต่างๆ อย่างไร

วิตามินดีกับโรคหัวใจล้มเหลว

ผลการศึกษาวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า วิตามินดีอาจช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังต้องหาข้อสรุปอีกทีว่า วิตามินส่งผลเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการรายงานว่า นักวิจัยได้ทำการทดสอบกับหนูทดลอง เพื่อทำการศึกษาในเรื่องเนื้อเยื่อบริเวณหัวใจที่เกิดรอยแผลเป็น เนื่องจากเวลาที่เนื้อเยื่อบริเวณหัวใจเกิดรอยแผลเป็นนั้น หัวใจก็จะสูบฉีดเลือดได้ยากลำบากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวขึ้นในที่สุด

ซึ่งผลการศึกษาวิจัยพบว่าวิตามินดีช่วยไม่ให้เนื้อเยื่อบริเวณหัวใจของหนูทดลอง เกิดเป็นรอยแผลเป็นขึ้นมา จึงช่วยป้องกันการอุดตันในระบบหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งถ้าทำการศึกษาวิจัยต่อไปให้มากขึ้น นักวิจัยเชื่อว่าวิตามินดีน่าจะเป็นตัวช่วยใหม่ที่มีราคาถูกในการป้องกันโรคหัวใจล้มเหลวในมนุษย์ได้

 

วิตามินดีกับโรคมะเร็ง

การศึกษาวิจัยพบว่าโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการขาดวิตามินดีในร่างกาย นอกจากนี้ยังพบว่าการมีวิตามินดีในระดับสูง ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งมีวิตามินดีมากก็ยิ่งลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้ โดยนักวิจัยได้คำนวณเอาไว้ว่า ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่าที่ระบุเอาไว้แนวทางปัจจุบันนั้น มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น 31 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่มีระดับวิตามินดีสูงกว่าที่ระบุเอาไว้ จะมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งชนิดนี้ลดลง 22 เปอร์เซ็นต์

 

วิตามินดีกับไขมันบริเวณหน้าท้อง

การศึกษาวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำการศึกษาในเรื่องความสัมพันธ์กันระหว่างโรคอ้วน กับการมีระดับวิตามินดีต่ำ โดยเน้นศึกษาเรื่องไขมันในร่างกายชนิดไหนที่อาจตอบสนองต่อวิตามินดี ซึ่งนักวิจัยรายงานว่าไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีวิตามินดีในระดับต่ำ แต่ยังต้องทำการศึกษาต่อไป เพื่อหาข้อสรุปว่าการขาดวิตามินดีทำให้เกิดไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง หรือการมีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องแล้วทำให้เกิดอาการขาดวิตามินดีกันแน่

 

วิตามินดีกับโรคอัลไซเมอร์

ในการหาข้อสรุปว่าวิตามินดีสามารถช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้มั้ยนั้น ผลการศึกษาวิจัยได้เผยข้อสรุปออกมาว่า อาการขาดวิตามินดีนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ แต่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันระหว่างการโดนรังสียูวีในแสงแดด กับการป้องกันโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคพาร์กินสัน และโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการผลิตวิตามินดีในร่างกายด้วย ซึ่งนักวิจัยบอกว่ายังต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้

 

อาหารที่มีวิตามินดีสูง

ถ้าคุณได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ ก็ลองกินอาหารที่มีวิตามินดูนะ ซึ่งอาหารพวกนี้อาจช่วยเพิ่มระดับวิตามินดีให้คุณได้

  • ปลาแซลมอน ผลการศึกษาวิจัยพบว่าปลาแซลมอนมีวิตามินมากถึง 988 IU ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ควรกินในแต่ละวันถึง 247%

  • ปลาซาร์ดีน มีวิตามินดีอยู่ 272 IU ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ควรกินในแต่ละวัน 68%

  • น้ำมันตับปลา น้ำมันตับปลาหนึ่งช้อนชามีวิตามินดีอยู่ 450 IU ซึ่งใช้ป้องกันการขาดวิตามินดีในเด็กกันมานานแล้ว

  • ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาทูน่ากระป๋องมีวิตามินดี 236 IU ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ควรกินในแต่ละวัน 50%

  • หอยนางรม มีวิตามินดี 320 IU ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่ควรกินในแต่ละวัน 80% แต่มีแคลอรี่มากถึง 68 แคลอรี่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook