อาหาร "ต้องห้าม" ของผู้ป่วยโรค "ตับ"
การเป็นโรคตับหมายความว่า คุณไม่สามารถรับประทานในแบบที่คุณต้องการ และในสิ่งที่คุณต้องการได้อีกต่อไป ในทางกลับกัน ในตอนนี้คุณจำเป็นต้องได้รับอาหารพิเศษที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมไปพร้อมทั้งกับป้องกันตับของคุณไม่ให้เกิดความเสียหายที่มากขึ้นได้ โรคตับที่มีหลายประเภท ทำให้คุณจำเป็นต้องมีแผนการรับประทานอาหารที่แตกต่างออกไป โดยมีข้อห้ามเฉพาะ และนี่คือ โรคตับกับอาหาร "ต้องห้าม" ที่คุณควรรู้
-
โรคสมองจากโรคตับ
โรคสมองจากโรคตับ (Hepatic encephalopathy) หมายถึงอาการทางสุขภาพ ที่เนื้อเยื่อแผลเป็นที่รุนแรงก่อตัวขึ้นภายในตับ เป็นการขัดขวางกระแสเลือดที่ลำเลียงผ่านตับตามปกติ เลือดที่ต้องกำจัดของเสียที่ตับ ไหลกลับไปยังระบบไหลเวียนโลหิตส่วนกลาง ทำให้เกิดหน้าที่การทำงานทางจิตใจที่บกพร่อง การรักษาโรคสมองจากโรคตับ ให้ความสำคัญกับการลดปริมาณสารพิษ อย่างเช่น แอมโมเนีย ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการย่อยโปรตีน ไม่ได้หมายความว่า ผู้ป่วยทุกรายต้องมีข้อจำกัดในการรับประทานโปรตีน ผู้ที่รักษาโรคสมองที่ไม่ตอบสนองต่อแลคทูโลส (lactulose) หรือนีโอมัยซิน (nemycin) เท่านั้น ที่ต้องรับประทานโปรตีนในปริมาณที่ต่ำ โดยแท้จริงแล้ว การบริโภคโปรตีนน้อยกว่า 20 กรัมต่อวัน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ในการรักษาระยะยาว และแพทย์ไม่แนะนำการรักษาด้วยวิธีนี้
-
ท้องมานและอาการบวมน้ำ
ท้องมาน (Ascites) เป็นอาการที่ช่องท้องของผู้ป่วย มีการสะสมของเหลว อาการบวมน้ำ (Edema) หมายถึงการที่ของเหลวก่อตัวขึ้นในเนื้อเยื่อ ที่มักจะเป็นที่เท้า ขา หรือหลัง ทั้งท้องมานและอาการบวมน้ำ ทำให้เกิดการสะสมของโซเดียมที่ผิดปกติ ร่วมกับความดันโลหิตในหลอดเลือดระบบพอร์ทัล (portal hypertension) และโรคตับ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ มักต้องจำกัดการบริโภคโซเดียม ผู้ป่วยจะได้รับอนุญาตให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2 ถึง 3 กรัมโดยงดอาหารกระป๋อง ไส้กรอกหรือเนื้อสำเร็จรูปทั้งหลาย เครื่องเทศ และเนยแข็งบางประเภท เพื่อทดแทนอาหารดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถใช้น้ำมะนาวได้
-
น้ำดีคั่ง
เมื่อมีภาวะน้ำดีคั่ง (Cholestasis) ตับจะไม่สามารถกำจัดน้ำดีได้ ดังนั้น ผู้ป่วยจะมีภาวะอุจจาระมีไขมันมาก (steatorrhea) หรือภาวะดูดซึมไขมันบกพร่อง (fat malabsorption) อาการคืออุจจาระมีไขมันปนและมีกลิ่นเหม็น ผู้ที่มีภาวะน้ำดีคั่งสามารถรับประทานอาหารเสริมไขมัน เพื่อเป็นตัวช่วยได้ อาหารเสริมดังกล่าว ได้แก่ ไตรกลีเซอไรด์สายกลาง (medium-chain triglycerides) น้ำมัน MCT oil หรือน้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเหล่านี้สามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องอาศัยน้ำดีจากตับ ภาวะอุจจาระมีไขมันมาก ยังขัดขวางการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค โชคดีที่ยังมีอาหารเสริมที่ใช้ทดแทนได้ สิ่งที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติคือ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
-
โรควิลสัน
โรควิลสัน (Wilson disease) เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะการเผาผลาญธาตุทองแดงบกพร่อง ดังนั้น ผู้ป่วยโรควิลสันจะมีทองแดงสะสมอยู่ในอวัยวะจำนวนมากภายในร่างกาย ตั้งแต่ตับไปจนถึงสมอง และแม้กระทั่งกระจกตา ดังนั้น ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยากำจัดทองแดงหรือยาเพนิซิลลามีน (penicillamine) เพื่อกำจัดทองแดงส่วนเกิน นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรบริโภคอาหารใด ๆ ที่มีทองแดง เช่น ช็อคโกแล็ต ถั่ว หอย และเห็ด
-
ภาวะเหล็กเกิน
ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) เกิดขึ้นเมื่อลำไส้ไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างเหมาะสม ธาตุเหล็กส่วนเกินสะสมอยู่ในตับ ตับอ่อน รวมถึงอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย ผู้ป่วยที่มีภาวะเหล็กเกินไม่ควรรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็ก นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามแผนการรับประทานอาหารตามปกติได้
-
ไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับ (Fatty liver) ไม่ได้เกิดจากการรับประทานไขมัน แต่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ โรคอ้วน การอดอาหารบางชนิด และปัจจัยอื่นๆ ผู้ที่มีภาวะไขมันพอกตับควรรับประทานอาหารที่สมดุล ร่วมกับการกำจัดสารเคมีหรือยาประเภทต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคนี้