ไม่ควรมองข้าม! 6 โรคฮิต คุกคามชีวิตช่วงหน้าหนาว
แม้ยังไม่มีประกาศว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ จากกรมอุตุนิยมวิทยา แต่ในหลายพื้นที่ของประเทศ รวมถึงกรุงเทพฯ ก็เริ่มสัมผัสลมหนาวกันบ้างแล้ว ไม่แปลกที่อาการป่วยไข้จะเริ่มแวะมาทักทาย โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็กวัยกำลังโต ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอาการป่วย หรือสุขภาพไม่แข็งแรง และโรคที่มักมากับหน้าหนาว มีดังนี้
โรคไข้หวัด
สำหรับ “ไข้หวัด” นั้น เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกฤดูกาล แต่ในหน้าหนาว จะพบมากกว่าปกติถึง 2 เท่า หากคุณประมาท เพราะคิดว่าไข้หวัดเป็นไม่นานก็หาย แถมอาการก็ไม่หนักมาก ระวังจะเปลี่ยนจาก “ไข้หวัด” เป็น “ไข้หวัดใหญ่” ได้ง่าย ๆ
โดยอาการทั่วไปของไข้หวัด คือ มีอาการไอจาม คันคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล หนาวสั่น ปวดศีรษะ และปวดเมื้อยกล้ามเนื้อ หากอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2-7 วัน ทั้งยังมีไข้สูง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
โรคไข้หวัดใหญ่
เป็นโรคที่มีอาการคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดา แต่มีอาการรุนแรงกว่าถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ โดย “ไข้หวัดใหญ่” เกิดจากการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น ไข้ขึ้นสูง เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
โรคปอดบวม
คือ ภาวะปอดอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จนทำให้มีหนองและสารปนเปื้อนอย่างอื่นในถุงลม เป็นผลให้ร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถรับออกซิเจนได้ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน และอาการที่ว่าอาจทำให้เสียชีวิตได้
โดยโรคปอดบวมนั้น จะมีอาการโดยทั่วไป คือ ไอ มีเสมหะมาก เจ็บหน้าอก มีไข้สูง หรือหายใจหอบ ส่วนความรุนแรงของอาการนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ สภาพแวดล้อม และความรุนแรงของเชื้อโรคที่ได้รับ
โรคผิวหนังแห้งอักเสบ
สำหรับโรคผิวหนังแห้งอักเสบนั้น ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมี แต่เกิดจากผิวหนังของผู้ป่วยที่มีความไวต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวดีกว่าคนอื่น ยิ่งในช่วงอากาศหนาวที่ความชื้นในอากาศลดลง เป็นผลให้ผิวแห้ง คัน และลอก ดังนั้น ควรหมั่นเพิ่มความชื้นให้แก่ผิวหนัง ด้วยการทาครีมหรือทาน้ำมันบำรุงผิว
โรคหลอดลมอักเสบ
เป็นโรคที่เกิดจากการการอักเสบที่เยื่อบุหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้ำมูกไหล จาม หายใจลำบาก เจ็บทรวงอก และมีเสมหะในหลอดลม ทั้งนี้ โรคหลอดลมอักเสบ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง
โรคหัดเยอรมัน
สำหรับโรคหัดเยอรมันที่หลายคนอาจคุ้นชื่อนั้น เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ซึ่งอาการของผู้ป่วยไม่รุนแรงมาก เนื่องจากมีผู้ป่วยเกินครึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ตนเป็นโรคหัดเยอรมันอยู่ ขณะที่อาการของโรค คือ มีผื่นขึ้นช่วง 2 สัปดาห์หลังสัมผัสเชื้อโรค และอยู่นาน 3 วัน ก่อนจะหายไปไม่เกิน 2 สัปดาห์
วิธีดูแลตัวเองช่วงหน้าหนาว
- เลือกรับประทานอาหาร ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ เนื่องจากในผักผลไม้มีวิตามินสูง ช่วยป้องกันไข้หวัดได้เป็นอย่างดี
- การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ที่สำคัญควรงดน้ำเย็น แล้วหันมาดื่มน้ำอุ่นๆ หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ แทน
- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของคุณอีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด
- หากป่วยเป็นไข้หวัด ควรปิดปากและจมูกด้วยหน้ากากอนามัย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
- สวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ และหากอากาศหนาวมาก ก็ควรสวมหมวกไหมพรม เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย
- คุณควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-9 ชั่วโมง