เช็กความเสี่ยง “กระดูกพรุน” ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุที่ต้องระวัง
หากพูดถึง “กระดูกพรุน” อาจจะนึกถึงวัยชราผมขาวที่เดินก้มๆ เงยๆ หลังงุ้มงอ และต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงเดิน แต่จริงๆ แล้วโรคกระดูกพรุนใกล้ตัวเรามากกว่านั้น เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้แค่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่เสี่ยงต่อโรคนี้ แล้วเราก็คงยังไม่อยากจะใช้ไม้เท้าช่วยเดิรกันตั้งแต่อายุยังน้อยจริงไหม? มาเช็กกันดีกว่าว่าคุณอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยงฎ โรคกระดูกพรุนหรือเปล่า
กลุ่มเสี่ยงที่ควรรับการตรวจความหนาแน่นของกระดูก เพื่อเช็กภาวะกระดูกพรุน
- ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งหมายถึงรวมผู้ที่ถูกตัดรังไข่ทั้งสองข้าง
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีน้ำหนักตัวน้อย (มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตร)
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีส่วนสูงลดลงตั้งแต่ 4 เซนติเมตรขึ้นไป
- ผู้ที่มีประวัติกระดูกหักจากภยันตรายแบบไม่รุนแรง
- ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด ที่ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง
- ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการรักษาด้วย aromatase inhibitors หรือผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้รับการรักษาด้วย androgen deprivation therapy
- ตรวจพบภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกสันหลังยุบจากภาพถ่ายรังสี
สาเหตุของกระดูกพรุน
จากกลุ่มเสี่ยงจะเห็นได้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุน คือ การสูญเสียฮอร์โมนเพศหญิง เนื่องจากเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือได้รับการผ่าตัดรังไข่ทิ้งก่อนอายุครบ 45 ปี นอกจากนี้อีกปัจจัยหนึ่งคือ อายุที่มากขึ้น เพราะเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี กระดูกจะบางลง 1-3% ทุกปี
ปัจจัยเสี่ยงโรคกระดูกพรุน
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
- เป็นชาวผิวขาว หรือเอเชีย
- ขาดวิตามินดี หรือแคลเซียม
- น้ำหนักน้อย
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น โรคต่อมไทรอยด์
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ
- เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคทางเดินอาหารผิดปกติ
- สูบบุหรี่
- ใช้ยาสเตียรอยด์เกินขนาด
- สูบบุหรี่
การป้องกันโรคกระดูกพรุน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะแคลเซียม และวิตามินดี
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงสารคาเฟอีน เนื่องจากมีผลทำลายกระดูก
- งดสูบบุหรี่
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ควรเข้ารับการตรวจวัดมวลกระดูก
การรักษาโรคกระดูกพรุน
แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยวิธีรับประทานยา และฉีดยา โดยจะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย