"วัยทำงาน"เสี่ยงโรคลมพิษสูงสุด! เหตุเครียด-ไม่ดูแลสุขภาพ

"วัยทำงาน"เสี่ยงโรคลมพิษสูงสุด! เหตุเครียด-ไม่ดูแลสุขภาพ

"วัยทำงาน"เสี่ยงโรคลมพิษสูงสุด! เหตุเครียด-ไม่ดูแลสุขภาพ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หมอศิริราชเผยวัยทำงานป่วย"ลมพิษ"มากที่สุด เหตุจากความเครียด-ไม่ดูแลสุขภาพ เตือนอย่าชะล่าใจอันตรายถึงชีวิต หากเป็นต้องรักษาก่อนอาการจะรุนแรง

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ศ.พญ.กนกวลัย กุลทนันทน์ หัวหน้าภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ลมพิษเป็นโรคที่ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ขนาดตั้งแต่ 0.5-10 เซนติเมตร (ซม.) มีอาการคัน แต่ละผื่นมักจะคงอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ผื่นก็จะราบไปโดยไม่มีร่องรอย แต่ก็อาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่นๆ ได้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีริมฝีปากบวม ตาบวม สาเหตุมีทั้งการติดเชื้อ แพ้ยา แพ้อาหาร แมลงกัดต่อย ระบบฮอร์โมนผิดปกติ ขณะที่บางรายก็ไม่ทราบสาเหตุหรือสิ่งกระตุ้น

ศ.พญ.กนกวลัยกล่าวว่า ลมพิษแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.ชนิดเฉียบพลัน เป็นไม่เกิน 6 สัปดาห์ หายภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่พบว่าประมาณร้อยละ 10-20 ผื่นอาจขึ้นต่อเนื่องจนเป็นลมพิษเรื้อรัง ที่น่ากังวลคือ หากมีอาการรุนแรง จะมีแสดงอาการที่อวัยวะอื่น เช่น ปวดท้อง แน่นจมูก คอ หายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก หอบหืด หรืออาจเป็นลมจากความดันโลหิตต่ำ แต่จะพบได้น้อย ซึ่งหากเกิดขึ้นควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้

2.ชนิดเรื้อรัง มีอาการต่อเนื่องนานเกิน 6 สัปดาห์ ในต่างประเทศพบประมาณร้อยละ 0.5-1 ของประชากร ส่วนประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่จากสถิติผู้ป่วยนอก แผนกผิวหนัง รพ.ศิริราช พบผู้ป่วยร้อยละ 2-3 ของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคผิวหนัง โดยพบได้ในทุกกลุ่มอายุ อุบัติการณ์สูงสุดคือ วัยทำงาน อายุ 20-40 ปี เชื่อว่ามีสาเหตุจากเครียดสะสมและอาจละเลยดูแลสุขภาพ

ศ.พญ.กนกวลัยกล่าวอีกว่า ลมพิษเรื้อรังมีผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การนอนหลับ และความเครียด เนื่องจากจะเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะรายที่ไม่ทราบสาเหตุ อาจมีภาวะความเครียดสูง เพราะไม่รู้ว่าจะมีอาการเกิดขึ้นเมื่อใด และไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากปัจจัยกระตุ้นได้ การรักษาแพทย์จำเป็นต้องให้ยาตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อควบคุมอาการผื่นลมพิษ และเมื่อควบคุมอาการได้แล้วจึงค่อยๆ ลดยาจนถึงพยายามหยุดยา เพื่อควบคุมโรคในระยะยาว

ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเรื้อรังนานเป็นปี แต่ปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษามากขึ้นทั้งยากินและยาฉีด อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาอาการได้ คือ 1.งดสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดลมพิษ 2.นำยาต้านฮีสตามีนติดตัวไว้เสมอ 3.ทำจิตใจให้สบายไม่เครียด 4.ไม่แกะเกาผิวหนัง 5.กินยาตามแพทย์สั่ง หากยาทำให้เกิดอาการง่วงซึมจนรบกวนการทำงานหรือขับขี่ยานพาหนะ ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาให้เหมาะสม และ 6.อาจใช้คาลาไมน์โลชั่นทาบริเวณผื่นลมพิษเพื่อลดอาการคัน แต่ไม่ได้ทำให้ผื่นหาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook