ฟอสฟาติดิลโคลีน ดีต่อเด็กอย่างไร

ฟอสฟาติดิลโคลีน ดีต่อเด็กอย่างไร

ฟอสฟาติดิลโคลีน ดีต่อเด็กอย่างไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ความเข้าใจในเรื่องโภชนาการสำหรับเด็กนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะเลี้ยงดูบุตรให้เจริญเติบโตได้ดี ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมอง เพื่อให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป

เด็กในแต่ละช่วงวัยจะมีการเจริญเติบโตและมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การให้อาหารกับเด็กในแต่ละช่วงวัยจึงต้องให้อย่างเหมาะสม โดยเด็กนั้นต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน ทั้ง คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันวิตามิน และแร่ธาตุ หรือเกลือแร่ชนิดต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว การได้รับสารสำคัญอื่นๆ เพื่อการพัฒนาส่วนต่างๆ ของร่างกายก็มีความสำคัญเช่นกัน ตัวหนึ่งที่อยากกล่าวถึงในที่นี้คือ ฟอสฟาติดิลโคลีน (phosphatidylcholine)

ฟอสฟาติดิลโคลีนเป็นฟอสโฟลิพิด (phospholipid) ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า เลซิติน (lecithin) นั่นเอง นอกเหนือจากฟอสฟาติดิลโคลีนแล้ว เลซิตินยังประกอบไปด้วยฟอสโฟลิพิดชนิดอื่นๆ อีก นั่นคือ ฟอสฟาทิดิล เอทาโนลามีน (phosphatidyl ethanolamine) ฟอสฟาทิดิล อิโนซิตอล (phosphatidyl inositol) และกรดฟอสฟาทิดิก(phosphatidic acid) ฟอสโฟลิพิดดังกล่าวนั้นเป็นส่วนประกอบหลักของเยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ ในร่างกายทั้งในพืชและสัตว์

ในการสังเคราะห์ฟอสฟาติดิลโคลีนจำเป็นต้องใช้โคลีน ซึ่งโคลีนนี้จัดเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นจะต้องได้จากอาหาร สำหรับร่างกายจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาท (Neurotransmitters) ที่เรียกว่า อะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) ที่จะช่วยในการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์สมองแต่ละเซลล์ ช่วยกระตุ้นการตื่นตัว ความจำ สมาธิ ความสนใจการตัดสินใจ และการสั่งงานไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้แสดงพฤติกรรมต่างๆ ได้ การขาดโคลีนหรือสารอะซีติลโคลีนจะทำให้ความสามารถในการเรียนรู้และความจำลดลงได้

ฟอสฟาติดิลโคลีนนั้นพบได้ในอาหารชนิดต่างๆ ทั้งอาหารที่ได้จากสัตว์และพืช ได้แก่ ไข่ ปลา เนื้อวัว นมสด เนย ชีส ส่วนอาหารจากพืช ได้แก่ ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ถั่วลิสง แครอท หรือเมล็ดทานตะวัน จมูกข้าวสาลี เป็นต้น สำหรับในทางอุตสาหกรรมแล้ว การสกัดให้ได้สารอาหารสำคัญอย่างฟอสฟาติดิลโคลีนนั้น นอกจากเราจะสกัดได้จากไข่แดงแล้ว เรายังสามารถสกัดได้จากถั่วเหลืองอีกด้วย ทั้งนี้ พบว่าสารอาหารสำคัญที่สกัดจากถั่วเหลืองนั้นมีคุณภาพดีกว่าการสกัดจากไข่แดง

จากข้อมูลในเรื่องประโยชน์ของฟอสฟาติดิลโคลีนนั้น มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์และผลจากงานวิจัยต่างๆ พบว่าฟอสฟาติดิลโคลีนเป็นสารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท บำรุงสมอง เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และการจดจำให้ดีขึ้น จำเป็นต่อการพัฒนาสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนกระทั่งคลอดและเจริญเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยเด็ก นอกจากนั้น ในวัยทำงานที่ใช้สมองมาก มีความเครียดสูง นอนดึก ฟอสฟาติดิลโคลีนยังถือเป็นแหล่งพลังงานสำคัญอย่างหนึ่งของสมอง สำหรับวัยสูงอายุฟอสฟาติดิลโคลีนยังอาจจะช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้อีกด้วย

ความต้องการสารโคลีนจากฟอสฟาติดิลโคลีนจะสูงขึ้นมากในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพื่อนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทเสริมสร้างความจำและการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาระบบสมองของทารกในครรภ์ การวิจัยพบว่าโคลีนช่วยให้เซลล์ต้นกำเนิดในสมองของทารกส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณเซลสมองเพิ่มมากขึ้น และเมื่อทารกเข้าสู่ช่วงวัยเด็กที่สมองยังคงต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ฟอสฟาติดิลโคลีนยังคงมีความจำเป็นต่อการพัฒนาของเด็ก

ฟอสฟาติดิลโคลีนพบมากใน ไข่ ตับ ถั่วเหลือง และนมถั่วเหลือง ซึ่งมีสารอาหารสำคัญที่สกัดได้จากธรรมชาติอีกมากมาย เช่น โปรตีน โอเมก้า 3 6 9 และเลซิติน ดังนั้น เราจึงสามารถเลือกดื่มนมถั่วเหลือง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยที่ยังมีการพัฒนาของสมองเช่นวัยเด็กนั่นเอง ทั้งนี้ การเลือกนมถั่วเหลืองสำหรับวัยเด็ก ควรพิจารณาเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐาน  และเป็นนมถั่วเหลืองที่มีสารอาหารเหมาะสมสำหรับการพัฒนาสมองของเด็ก

บทความโดย อาจารย์ ศัลยา คงสมบูรณ์เวช

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ  (อเมริกา)

(Advertorial)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook