หมอฟันแนะ 3 วิธีดูแลสุขภาพช่องปาก

หมอฟันแนะ 3 วิธีดูแลสุขภาพช่องปาก

หมอฟันแนะ 3 วิธีดูแลสุขภาพช่องปาก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากข้อมูลสุขภาพช่องปากและฟันของคนไทย พบว่า ช่วงปฐมวัยเริ่มมีฟันน้ำนมผุตั้งแต่อายุ 9 เดือน ร้อยละ 3 และผุเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 51.7 เมื่ออายุ 3 ปี และจะเพิ่มสูงมากถึง ร้อยละ 97.5 เมื่ออายุ 5 ปี โดยเด็กวัยเรียนที่เริ่มมีฟันแท้ขึ้นในปาก ช่วงอายุ 12 ปี ร้อยละ 52.2 เป็นโรคฟันผุ และร้อยละ 50 พบเหงือกอักเสบ ขณะที่ประชากรอายุมากกว่า 65 ปี ในเอเชียกว่าร้อยละ 23 ที่สูญเสียฟันทั้งปากและคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 38  ในปี ค.ศ. 2050 สะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพในช่องปาก  

ทพญ. วลัยลักษณ์ เกียรติธนากร ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรมบีดับเบิลยูซี แห่งบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวถึงภาพรวมของปัญหาสุขภาพช่องปาก และความสำคัญของสุขภาวะช่องปากที่ดีว่า “หากเปรียบว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ รอยยิ้มก็คงเปรียบได้กับประตูสู่มิตรภาพและความสัมพันธ์ เพราะเราเชื่อว่าการมีรอยยิ้มที่สดใสนั้น จะมีพลังของความสุขและความมั่นใจแฝงอยู่ในนั้นเสมอ ดังนั้นการมีสุขภาพปากและฟันที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีชีวิตที่ยาวนานและการใช้ชีวิตที่มีความสุข  ส่วนสาเหตุที่ทำให้สุขภาพในช่องปากมีปัญหานั้น นอกจากจะเกิดจากการบริโภคอาหาร เช่น เบเกอรี่ ขนม ลูกอม และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง แล้วการขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพในช่องปากที่ถูกต้องนั้น ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยมีปัญหาสุขภาพในช่องปาก” โดย ทพญ. วลัยลักษณ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการดูแลสุขภาพในช่องปากและฟันไว้ 3 ขั้นตอนดังนี้  

  1. ทำความสะอาดอย่างถูกวิธีชัยไปกว่าครึ่ง

    การทำความสะอาดที่ถูกวิธีนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพปากและฟันที่ดี โดยเริ่มต้นแต่วิธีเลือกยาสีฟันที่ควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ  เลือกแปรงสีฟันที่มีปลายมน ขนแปรงนุ่มพอเหมาะ ด้ามจับถนัดมือ  โดยเวลาแปรงให้ วางขนแปรงแนบกับของเหงือก โดยเอียงขนแปรงเป็นมุม 45 องศา กับตัวฟันเพราะบริเวณรอยต่อนี้เองที่เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียในช่องปาก หลังจากนั้นให้ขยับแปรงไปมาเล็กน้อย แล้วหมุนข้อมือปัดแปรงไปบนตัวฟัน โดยแปรงทั้งด้านในและด้านนอกของฟัน  ส่วนด้านบดเคี้ยวนั้นให้ถูไปมาตามแนวฟันทั้งซ้ายขวาจนสะอาด โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้งพร้อมกับทำความสะอาดลิ้น เพราะเชื้อแบคทีเรียหรือเศษอาหารฝังอยู่ที่ลิ้น ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีกลิ่นปากได้โดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญหลังแปรงฟันให้บ้วนน้ำออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อให้ฟลูออไรด์คงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่ 

  1. ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ

    การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อยู่บริเวณซอกฟันได้ จึงจำเป็นต้องใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อลดการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของฟันผุ และเหงือกอักเสบโดยเฉพาะบริเวณซอกฟันและด้านข้างของฟันที่อยู่ชิดกัน โดยใช้ไหมขัดฟันโอบลงไประหว่างซี่ฟันจนถึงใต้ขอบเหงือก หรือลงไปในร่องเหงือกเล็กน้อย โอบไหมขัดฟันตามส่วนโค้งของซี่ฟัน ค่อยๆ ขยับไหมขัดฟัน ขึ้นลงไปทีละซี่ โดยไม่ใช้วิธีกดไหมขัดฟันให้ผ่านเข้าซอกฟันโดยตรง ไม่ใช้ไหมขัดฟันอย่างรุนแรง เพราะอาจทำให้เหงือกเลือดออกเป็นแผลได้
      
  1. พบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

    นอกจากการทำความสะอาดและการดูแลสุขภาพปากและฟันด้วยตัวเองแล้ว การเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเช็คสุขภาพปากและฟันอย่างละเอียดทุกๆ 6 เดือน ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทันตแพทย์จะช่วยมองหาสัญญาณของโรคและปัญหาต่างๆ เพื่อป้องกันและรับมือและรักษาทันทีก่อนลุกลาม

 

สุดท้าย ทพญ. วลัยลักษณ์ ยังได้ทิ้งท้าย 5 หลักการสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาวะช่องปาก ได้แก่ “ป้องกัน สม่ำเสมอ ใส่ใจ สะอาดปลอดภัย และสมวัย” เป็นหลักสำคัญที่ควรตระหนักถึงเพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาทั้งในด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งต้องมาพร้อมกับความสม่ำเสมอในการดูแลสุขภาพช่องปากและพบทันตแพทย์อย่างใส่ใจ โดยควรเลือกสถานที่ในการรักษาที่สะอาด ได้มาตราฐาน และควรเลือกพบหมอที่เหมาะสมกับช่วงวัย ยกตัวอย่างเช่น ทันตแพทย์เด็กที่จะสามารถปรับพฤติกรรมของเด็กในแต่ละช่วงอายุ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากที่ดีและทัศนคติที่ดีต่อการทำฟัน เมื่อสุขภาพฟันในช่วงเด็กดีและรู้วิธีการป้องกันก็จะส่งผลถึงสุขภาพฟันและช่องปากที่ดีและยืนยาวไปในที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook