จริงหรือไม่ ใส่คอนแทคเลนส์กินปิ้งย่าง ร้อนละลายติดตาได้

จริงหรือไม่ ใส่คอนแทคเลนส์กินปิ้งย่าง ร้อนละลายติดตาได้

จริงหรือไม่ ใส่คอนแทคเลนส์กินปิ้งย่าง ร้อนละลายติดตาได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลายคนคงเคยอ่านฟอร์เวิร์ดเมล หรือข่าวเก่าๆ ในอินเตอร์เน็ต ว่าที่ต่างประเทศเคยมีข่าวผู้หญิงคนหนึ่งใส่คอนแทคเลนส์ ไปทานบาร์บีคิว ควันร้อนๆ เข้าตาจนทำให้คอนแทคเลนส์ละลายติดกับตาดำ ด้วยเนื้อเรื่อง และภาพที่ตาแดงจนน่ากลัว ก็ส่งผลให้แม่เรา ซึ่งรู้ว่าเราเป็นคนใส่คอนแทคเลนส์ทุกวัน สั่งห้ามเราใส่คอนแทคเลนส์ไปกินหมูกระทะ หรือปิ้งย่างที่ไหนเด็ดขาด (บางครั้งลามมาถึงร้านสุกี้ จิ้มจุ่ม และอาหารทุกอย่างที่ปรุงสุกตรงหน้า)

แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันเป็นไปได้จริงหรือไม่ Sanook! Health มีคำตอบมาคลายความสงสัยให้ทุกคนแล้วค่ะ
หมอแมว จากเพจ ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว อธิบายเอาไว้ ดังนี้


ความร้อนจากอาหาร ร้อนมากถึงขนาดทำให้คอนแทคเลนส์ละลาย จริงหรือไม่?

ความร้อนจากการปิ้งเนื้อที่เตาบาร์บีคิว (หรืออาหารปิ้งย่างอื่นๆ) ไม่ได้ร้อนถึงขนาดทำให้คอนแทคเลนส์ละลายติดตาได้ เพราะความร้อนที่ลอยขึ้นมาจากเตามาสัมผัสหน้า ไม่ควรจะมีอุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 80-90 องศาเซลเซียส เพราะถ้าหากอุณหภูมิสูงขนาดนั้น ผิวหนังคงไหม้ไปแล้ว ตาของเราคงร้อนจนทนไม่ไหว ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่คอนแทคเลนส์ก็ตาม

คอนแทคเลนส์ ทนความร้อนได้หรือไม่?

คอนแทคเลนส์สามารถทนความร้อนได้พอสมควร สมัยก่อนเคยมีการทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ด้วยการต้ม ที่อุณหภูมิ 100 องศา หรือวิธี Autoclave (นึ่งเพื่อฆ่าเชื้อโรค) ที่อุณหภูมิ 120 องซาเซลเซียสด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นความร้อนเพียงแค่จากอาหารที่กำลังปรุงอยู่ ไม่น่าจะทำให้คอนแทคเลนส์ละลายได้ หรือถ้ามันร้อนมากๆ ถึงขั้นเกิน 120 องศาเซลเซียส การถอดคอนแทคเลนส์ก็คงไม่ช่วยอะไร (เพราะตากับหน้าคงไหม้ไปแล้ว)


แล้วภาพหญิงสาวตาแดงน่ากลัวที่เราเห็นกันในอินเตอร์เน็ตนั้น มาจากไหน?

ภาพที่ส่งกันมาเป็นภาพของ Ashley Hyde เด็กสาวที่ดวงตาติดเชื้อโปรโตซัวจากการใช้คอนแทคเลนส์ไม่สะอาด ไม่ใช่จากการปิ้งย่างบาร์บีคิวแต่อย่างใด (ที่มา)


ใครใส่คอนแทคเลนส์บ่อยๆ อย่างเราก็วางใจได้สักทีนะคะ แต่ถึงกระนั้นก็ต้องหมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอนทุกครั้ง พยายามอย่าใส่คอนแทคเลนส์เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์เป็นประจำ และเปลี่ยนตลับแช่คอนแทคเลนส์ทุกเดือนนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ค ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook