“น้ำส้มสายชู” ลดเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือ?

“น้ำส้มสายชู” ลดเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือ?

“น้ำส้มสายชู” ลดเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือ?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากบ้านเรามีสูตรยาดีผีบอกเช่น น้ำมะนาวโซดารักษาโรคมะเร็ง หรือมะนาวหมักน้ำผึ้งรักษาเบาหวาน และอีกสารพัดโรคได้ ต่างประเทศฝั่งตะวันตกก็มีความเชื่อที่เกี่ยวกับ “น้ำส้มสายชู” เหมือนกัน แต่เป็นน้ำส้มสายชูฝรั่งที่หมักด้วยแอปเปิ้ล หรือที่เราเรียกว่า apple venigar ที่เชื่อว่าสามารถลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจได้เช่นกัน

นายแพทย์ ริชาร์ด ลี (Richard Lee, M.D.) อดีตบรรณาธิการ Harvard Heart Letter กล่าวว่า มีความเชื่อเกี่ยวกับน้ำส้มสายชูหมักด้วยแอปเปิ้ลที่ช่วยในเรื่องของสุขภาพมากมาย ตั้งแต่การช่วยลดความอยากอาหาร (ซึ่งทำให้ช่วยลดน้ำหนักได้) ล้างสารพิษในลำไส้ เพิ่มประสิทธิภาพให้กับภูมิคุ้มกันโรค ลดไขมันในหลอดเลือดหัวใจ ไปจนถึงควบคุมการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดีขึ้น จากคุณสมบัตรที่กล่าวมาสรุปได้ว่า เป็นคุณสมบัติที่ครอบจักรวาลมากเกินไป และยังไม่มีหลักฐาน หรืองานวิจัยที่พิสูจน์คุณประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักด้วยแอปเปิ้ลเหล่านี้มาก่อน

อย่างไรก็ตาม ในน้ำส้มสายชูหมักด้วยแอปเปิ้ลมีกรดแอซีติกที่ทำให้เกิดกลิ่น และรสเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของน้ำส้มสายชูชนิดนี้ ญาติห่างๆ ของเจ้ากรดนี้ ที่เป็นกรดที่สังเคราะห์ขึ้นมาใช้ในอุตสาหกรรม คือ กรดเอทิลีนไดอามีนเตตราอาเซติก (Ethylenediaminetetraacetic acid) เรียกอย่างสั้นว่า EDTA หรือ กรดเอเดติก (Edetic acid) ที่มีคุณสมบัติในการดูดซับสารโลหะได้ โดยมีการใช้กรดนี้ในการดึงสารโลหะอย่าง ตะกั่ว ปรอท และเหล็กที่เป็นพิษในกระแสเลือด จึงมีการใช้กรดชนิดนี้ในการทำคีเลชั่น (chelation therapy) หรือการล้างพิษ การกำจัดสารพิษในหลอดเลือด โดยมีความเชื่อว่าจะสามารถล้างสารพิษ รวมถึงคราบพลัค และคอเลสเตอรอลต่างๆ แต่อันที่จริงก็ยังไม่สามารถยืนยันผลทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน เป็นเพียงแต่ความเชื่อเท่านั้น

ประโยชน์ และโทษของน้ำส้มสายชูหมักด้วยแอปเปิ้ล

แม้ว่าคุณสมบัติต่างๆ จะเกินจริงไปบ้าง และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน แต่น้ำส้มสายชูหมักด้วยแอปเปิ้ลก็เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร ใส่น้ำสลัด และทำซอสต่างๆ ให้มีรสชาติที่ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม หากรับประทานน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลมากเกินไป อาจเป็นการลดโพแทสเซียมในเลือดให้น้อยลงโดยไม่ได้ตั้งใจ เสี่ยงต่อภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ซึ่งทำให้มีอาการท้องผูก อ่อนล้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อกระตุกได้ ดังนั้น ปริมาณที่แนะนำให้รับประทาน คือ 1-2 ช้อนชาต่อมื้อ และอย่ารับประทานน้ำส้มสายชูโดยเอาเข้าปากตรงๆ หรือหากรับประทานจำนวนไม่มาก ควรรีบบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพราะกรดจากน้ำส้มสายชูอาจทำให้ผิวเคลือบฟันเสีย เสี่ยงต่อฟันผุ กร่อน หรือเสียวฟันได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook