"หลอดเลือดสมองตีบ-ตัน" อันตรายถึงชีวิต เปิดหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงอัมพาต

"หลอดเลือดสมองตีบ-ตัน" อันตรายถึงชีวิต เปิดหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงอัมพาต

"หลอดเลือดสมองตีบ-ตัน" อันตรายถึงชีวิต เปิดหลอดเลือดสมอง ลดความเสี่ยงอัมพาต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โรคหลอดเลือดสมอง (Stoke) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โรคนี้เป็นภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ เพราะมีการอุดตันของหลอดเลือดที่จะนำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับผู้ป่วย


สัญญาณอันตราย หลอดเลือดสมองตีบ-ตัน

ผศ.นพ. ชัย กอบกิจสุขสกุล แพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาร่วมรักษาระบบประสาท โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่า อาการที่บ่งบอกได้ว่าอาจเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง คือ

  • มีอาการพูดไม่ชัดเฉียบพลัน

  • อ่อนแรงที่แขน และขาหรือชา โดยมักจะเป็นครึ่งซีก

  • มองเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่เห็น

  • ปวดศีรษะ วิงเวียน บ้านหมุน และทรงตัวไม่ดีอย่างฉับพลัน

เมื่อพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการนี้ ควรรีบมาโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะอาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองได้


ชนิดของโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. หลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง พบได้ประมาณ 70-85% เกิดจากลิ่มเลือดจากบริเวณอื่นไหลไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดตันหลอดเลือดสมอง หรือลิ่มเลือดก่อตัวและขยายขึ้นจนไปอุดตันหลอดเลือดสมองได้

  2. หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง (Intracerebral Hemorrhage) หรือเยื่อหุ้มสมอง (Subarachnoid Hemorrhage) พบประมาณ 15-30% ของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางรวมกับความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดมีความโป่งพองและแตก ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้


ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่

  • อายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • เชื้อชาติและพันธุกรรม
  • ผู้ชายจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้มากกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันแก้ไขได้

ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงที่สามารถป้องกันและระวังแก้ไขได้ เช่น

  • ความดันโลหิตสูง
  • เบาหวาน
  • ไขมันในเลือดสูง
  • โรคหัวใจ
  • โรคอ้วน
  • โรคเลือด

รวมถึงพฤติกรรมอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่

  • สูบบุหรี่
  • ดื่มแอลกอฮอล์
  • ใช้ยาเสพติดหรือยากระตุ้นบางชนิด
  • ภาวะเครียด
  • ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


วิธีลดความเสี่ยงโรคหลอดเลิอดสมอง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือบุคคลทั่วไป สามารถดูแลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

  2. ลดอาหารที่มีรสจัดและมีคอเลสเตอรอลสูง

  3. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง

  4. ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง


การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยเบื้องต้น โดยสอบถามประวัติผู้ป่วยโดยละเอียดและตรวจร่างกาย โดยทำการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI brain) จากนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการรักษาอย่างถูกต้องตรงถามอาการของโรค ซึ่งวิธีการรักษามีหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่ การให้ยาสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ การลากสวนลิ่มเลือดออกจากสมอง ซึ่งมักจะใช้รักษาอาการหลอดเลือดอุดตัน และ การผ่าตัด (Surgery) อาจเกิดขึ้นเมื่อมีอาการเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งการรักษาเหล่านี้ต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น รวมถึงโรงพยาบาลต้องมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่พร้อมรักษาโรคทางสมองโดยเฉพาะ

ผศ.นพ. ชัย กอบกิจสุขสกุล กล่าวว่า ถ้าหากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหลังมีอาการเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง ก็จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนได้เป็นอันดับแรก จากนั้นแพทย์จะดูว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาดีแค่ไหน หากอาการไม่ดีขึ้นก็จะพิจารณาว่าจำเป็นต้องเปิดหลอดเลือดหรือลากเอาลิ่มเลือดออก ซึ่งปัจจุบันมักจะใช้เป็นการใส่ตะแกรงหลอดเลือดเข้าไป แล้วลากเอาลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมอง เพื่อเป็นการเปิดทางให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้

อีกกรณีหนึ่งหากผู้ป่วยมารักษาในระยะเวลาที่เกินจะให้ยาละลายลิ่มเลือด และตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เครื่องสร้างภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และพบว่ามีหลอดเลือดสมองอุดตันขนาดใหญ่ และยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถให้การรักษาโดยการใส่สายสวนเพื่อไปเอาลิ่มเลือดออกได้ก็จะรักษาด้วยวิธีนี้ทันที เนื่องจากมีข้อดีคือมีประสิทธิภาพในการเปิดหลอดเลือดอุดตันได้เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการให้ยาละลายลิ่มเลือดจะเปิดหลอดเลือดไม่ได้สูงเท่าการเอาลิ่มเลือดออกโดยตรง และการเปิดหลอดเลือดได้สำเร็จจะช่วยลดโอกาสในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตของผู้ป่วยได้

พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสภาวะรอบตัวล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ-ตัน โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ ดังนั้น จึงควรสังเกตอาการของตนเอง รวมถึงคนรอบข้าง หากมีอาการดังกล่าว ควรเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วก็จะยิ่งลดความเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook