“ชานมไข่มุก” ในไทย ยี่ห้อไหน “น้ำตาล” สูงที่สุด?

“ชานมไข่มุก” ในไทย ยี่ห้อไหน “น้ำตาล” สูงที่สุด?

“ชานมไข่มุก” ในไทย ยี่ห้อไหน “น้ำตาล” สูงที่สุด?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฉลาดซื้อเผยผลตรวจวิเคราะห์สารกันบูด น้ำตาล และโลหะหนัก ในชานมไข่มุก 25 ยี่ห้อ พบตัวอย่างเม็ดไข่มุกมีสารกันบูด 100% แต่ไม่เกินมาตรฐาน มีเพียง 2 ยี่ห้อ ที่น้ำตาลน้อยกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ บางยี่ห้อสูงถึง 18 ช้อนชา

ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สุ่มเก็บตัวอย่างชานมไข่มุกในเดือนพฤษภาคม 2562 จำนวน 25 ยี่ห้อ ขนาดแก้วปกติ แบบไม่ใส่น้ำแข็ง ที่มีราคาตั้งแต่แก้วละ 23 - 140 บาท ส่งตรวจวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ ปริมาณพลังงาน น้ำตาล และไขมัน รวมถึงทดสอบหาโลหะหนักประเภทตะกั่ว และสารกันบูดในเม็ดไข่มุก

จากผลทดสอบพบว่า ยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลต่อแก้วน้อยที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ KOI Thé โดยมีปริมาณน้ำตาลเท่ากับ 16 กรัม (4 ช้อนชา) และยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลต่อแก้วมากที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ CoCo Fresh Tea & Juice มีปริมาณน้ำตาล 74 กรัม (18.5 ช้อนชา)

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ได้รับต่อวัน ไม่ควรเกิน 24 กรัม (6 ช้อนชา) และพบว่า มีเพียง 2 ยี่ห้อเท่านั้นที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า 24 กรัม คือ ยี่ห้อ KOI Thé และ ยี่ห้อ TEA 65°

ลำดับ

ยี่ห้อชานมไข่มุก

ปริมาณต่อแก้ว (กรัม) *

คุณค่าทางโภชนาการ 

(หน่วย / น้ำหนักหนึ่งแก้ว)

ราคาแก้วละ

(บาท)

ปริมาณน้ำตาล(g.)

ปริมาณน้ำตาล (ช้อนชา) ***

(น้ำตาล 4 กรัม = 1 ช้อนชา)

1

KOI Thé

173 g.

16

4

70.-

2

TEA 65°

306 g.

22

5.50

80.-

3

Brown Café & Eatery

272 g.

29

7.25

65.-

4

Fire Tiger by Seoulcial Club

289 g.

31

7.75

140.-

5

ATM

280 g.

32

8

65.-

6

Mister Donut

255 g.

33

8.25

35.-

7

Nobicha

267 g.

33

8.25

24.-

8

BRIX Desert Bar

277 g.

33

8.25

85.-

9

Mr.Shake

306 g.

36

9

55.-

10

The ALLEY

412 g.

36

9

110.-

11

Chamuku

389 g.

37

9.25

29.-

12

Nuu tea

451 g.

38

9.50

24.-

13

Monkey Shake

393 g.

39

9.75

35.-

14

Nomi Mono

375 g.

43

10.75

75.-

15

Crown Bubble

452 g.

43

10.75

50.-

16

JIN

306 g.

44

11

35.-

17

KAMU

420 g.

44

11

60.-

18

Tea Story

428 g.

46

11.50

60.-

19

DAKASI tea

446 g.

46

11.50

65.-

20

Fuku MATCHA

445 g.

47

11.75

50.-

21

Ochaya

438 g.

50

12.50

35.-

22

Cha…Ma

341 g.

59

14.75

23.-

23

Formosa

450 g.

65

16.25

40.-

24

MOMA’S Bubble Tea Bar

404 g.

68

17

24.-

25

CoCo Fresh Tea & Juice

699 g.

74

18.50

70.-

หมายเหตุ: ปริมาณน้ำหนักต่อแก้ว (กรัม) ของชานมไข่มุก เป็นขนาดแก้วปกติของแต่ละยี่ห้อ (ไม่รวมน้ำแข็ง)

ส่วนผลการทดสอบสารกันบูดประเภทกรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) และกรดซอร์บิก (Sorbic Acid) ในเม็ดไข่มุก พบว่า ยี่ห้อที่มีปริมาณสารกันบูดน้อยที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ The ALLEY มีปริมาณกรดซอร์บิก เท่ากับ 58.39 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และยี่ห้อที่พบปริมาณสารกันบูดรวมมากที่สุด ได้แก่ ยี่ห้อ BRIX Desert Bar พบปริมาณกรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิกรวมกัน เท่ากับ 551.09 มิลลิกรัม/กิโลกรัม แต่ไม่เกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ตามที่แสดงดังตารางต่อไปนี้

 

ลำดับ

ยี่ห้อชานมไข่มุก

สารกันบูด (mg/kg)

โลหะหนัก

กรดเบนโซอิก

กรดซอร์บิก

รวม

ตะกั่ว

1

The ALLEY

-

58.39

58.39

-

2

Mister Donut

34.44

27.02

61.46

-

3

CoCo Fresh Tea & Juice

-

62.55

62.55

-

4

Nuu tea

68.19

52.85

121.04

-

5

ATM

67.51

57.52

125.03

-

6

MOMA’S Bubble Tea Bar

68.64

57.42

126.06

-

7

TEA 65°

63.01

63.56

126.57

-

8

Tea Story

73.52

59.00

132.52

-

9

Brown Café & Eatery

77.69

67.87

145.56

-

10

Fuku MATCHA

88.93

59.52

148.45

-

11

Mr.Shake

82.82

66.11

148.93

-

12

Formosa

86.93

70.18

157.11

-

13

Crown Bubble

120.46

53.17

173.63

-

14

KAMU

104.30

73.33

177.63

-

15

DAKASI tea

122.03

55.81

177.84

-

16

Nobicha

95.10

95.94

191.04

-

17

Cha…Ma

111.73

90.71

202.44

-

18

Nomi Mono

112.86

93.64

206.50

-

19

KOI Thé

-

216.95

216.95

-

20

Monkey Shake

122.89

101.37

224.26

-

21

JIN

129.99

104.36

234.35

-

22

Ochaya

160.21

131.55

291.76

-

23

Fire Tiger by Seoulcial Club

152.04

186.71

338.75

-

24

Chamuku

221.07

292.41

513.48

-

25

BRIX Desert Bar

300.60

250.49

551.09

-

 

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร นิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวว่า จากผลการทดสอบต้องการให้ผู้บริโภคได้ทราบว่า ชานมไข่มุกบางยี่ห้อ มีน้ำตาลมากเกือบ 19 ช้อนชา หากลองนึกภาพตามว่าน้ำตาลปริมาณ 19 ช้อนชานั้นมากมายขนาดไหน ก็จะทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการบริโภคได้มากขึ้น และทุกยี่ห้อมีสารกันบูด แต่ไม่มียี่ห้อไหนที่ให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคเลย

นางสาวสารี กล่าวอีกว่า ฉลากสัญญาณไฟจราจรจะทำให้ผู้บริโภคทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ได้ทราบถึงปริมาณของพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้ ตัวอย่างเช่น หากเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพและทานโซเดียมมากไม่ได้ เมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดงตรงโซเดียมก็จะทำให้คนนั้นทราบและลดการทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวน้อยลงได้ จึงอยากฝากข้อเสนอไปถึงผู้ประกอบการให้มีการปรับปรุงหรือลดปริมาณสารอาหารให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ด้วยการปรับฉลากให้เป็นมิตรกับผู้บริโภค ดูแล้วเข้าใจได้ง่าย เพื่อทำให้ผู้บริโภคได้บริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพมากขึ้นในท้องตลาด อีกทั้งอยากให้มีการปรับลดขนาดปริมาณต่อแก้ว (Serving Size) ลงให้เหมาะสม เพื่อควบคุมไม่ให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณพลังงานและน้ำตาลต่อแก้วสูงจนเกินไป เพราะเมื่อผู้บริโภคซื้อชานมไข่มุก ก็อาจบริโภคจนหมดแก้วเพราะความเสียดาย ทำให้พลังงานและน้ำตาลที่ได้รับในหนึ่งมื้อนั้นมากจนเกินความจำเป็น

“ในชานมไข่มุกนั้นมีสารกันบูด จึงขอให้ผู้ประกอบการระบุในฉลากให้ถูกต้อง ตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาด้วย และ อย. ควรเร่งผลักดันให้เกิดฉลากสัญญาณไฟจราจร เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพอาหารให้เป็นมิตรกับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และหวังว่าการให้ข้อมูลเรื่องชานมไข่มุกจะมีประโยชน์กับการตัดสินใจของผู้บริโภค” นางสาวสารีกล่าว


ผลักดันไอเดีย "ฉลากสัญญาณไฟจราจร" ให้ทราบปริมาณสารอาหารอย่างชัดเจน

ส่วนนายพชร แกล้วกล้า นักวิชาการด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ต้นแบบฉลากสัญญาณไฟจราจร หรือ ฉลากโภชนาการแบบจีดีเอ (Guidline Daily Amounts : GDA) หรือฉลากหวานมันเค็มมีที่มาจากประเทศอังกฤษ ได้เกือบ 20 ปีแล้ว โดยในอังกฤษเป็นการเริ่มทำแบบที่เรียกว่าฉลากสมัครใจ ต่อมาจึงเป็นฉลากแบบบังคับ จนถึงตอนนี้ซุปเปอร์มาร์เก็ตในทุกห้างทั่วประเทศอังกฤษมีการบังคับให้มีการติดฉลากแบบนี้ทั้งหมดแล้ว ฉลากดังกล่าวเป็นการแสดงปริมาณสารอาหาร 4 ช่อง แบ่งเป็น พลังงาน (กิโลแคลอรี) น้ำตาล (กรัม) ไขมัน (กรัม) และโซเดียม (มิลลิกรัม) ต่อหนึ่งหน่วยบรรจุภัณฑ์ (ถุง ซอง กล่อง) โดยจะแสดงฉลากด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจนและอ่านได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เห็นว่าหากทานหมดถุงแล้วจะเป็นอย่างไร

แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าฉลากบนนี้ไม่ได้บอกให้ทราบว่าควรกินมากน้อยแค่ไหน เพียงแต่บอกปริมาณที่ทานว่ามีปริมาณเท่าไรเท่านั้น ตัวอย่างเช่น บอกว่าพลังงาน 900 กิโลแคลอรี น้ำตาล 30 กรัม ไขมัน 50 กรัม และโซเดียม 1,000 มิลลิกรัม คำถาม คือ ตัวเลขเหล่านี้เยอะหรือน้อย ซึ่งแต่ละคนให้ค่าตัวเลขเหล่านี้ไม่เท่ากัน เช่น 1,000 สำหรับบางคนอาจจะเยอะมากหรือสำหรับบางคนอาจจะเล็กน้อยก็ได้ ดังนั้น หากนำปริมาณสารอาหารเหล่านี้มาใส่เกณฑ์อาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นกว่าหรือไม่ กล่าวคือ นำสิ่งที่นักโภชนาการแนะนำว่าควรทานเท่าไรมาทำเกณฑ์สี ได้แก่ สีแดงจะอยู่ในปริมาณที่สูงเกินเกณฑ์ ควรหลีกเลี่ยงในการทานครั้งต่อไป สีเหลืองอยู่ระดับสูงแต่พอดีเกณฑ์ ควรระมัดระวังในการทานครั้งต่อไป หากเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง และสีเขียวอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับประทานได้แต่ไม่ควรทานเกินสองครั้งต่อหนึ่งวัน

มองว่าการทำฉลากสัญญาณไฟจราจรจะทำให้ฉลากสัญญาณไฟจราจรจะทำให้ผู้บริโภคทุกๆ คน ทราบถึงปริมาณของสารอาหารในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้ และยังทำให้สามารถเลือกทานอาหารที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย


ปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมในแต่ละวัน

ด้านทันตแพทย์หญิงมัณฑนา ฉวรรณกุล รองผู้จัดการโครงการฯ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน กล่าวว่า ด้านปริมาณน้ำตาล องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) โดยผลทดสอบชานมไข่มุก ยี่ห้อที่มีน้ำตาลน้อยสุด คือ 16 กรัม (4 ช้อนชา) และมากสุด คือ 74 กรัม (18.5 ช้อนชา) ซึ่งเกินกว่าปริมาณที่ควรได้รับถึง 3 เท่า และแม้เครื่องดื่มจะมีน้ำตาลน้อยกว่า 24 กรัม แต่ก็พบว่า ในหนึ่งแก้วมีปริมาณน้ำตาลต่อวันไปแล้ว 2 ใน 3 ซึ่งคาดได้ว่า ปริมาณการบริโภคจะเกินข้อแนะนำ

“เครื่องดื่มเหล่านี้เป็นเครื่องดื่มที่ควรงดการดื่ม เพราะเป็นแหล่งอุดมน้ำตาล ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่สูงหากได้รับในคราวเดียว จะรบกวนระบบการ Metabolite ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต (NCDs) ได้” ทันตแพทย์หญิงมัณฑนากล่าว

boba_milk_tea_graphic-07-fina

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook