ทำไมผู้ป่วย “ลมชัก” ต้องห้ามขับรถ ?
แพทย์ชี้ผู้ป่วยโรคลมชักไม่ควรขับรถ เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ เผยข้อมูล ปี 62 พบ 90% ของผู้ป่วยโรคลมชักยังคงขับรถโดย 56% มีอาการชักแบบไม่รู้สติ และเกือบ 60% ของผู้ป่วยที่ชักแบบนี้ยังคงขับรถต่อ
นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ข้อมูลต่างประเทศพบผู้ป่วยโรคลมชักมีอัตราเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุจาก การขับรถได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 1.8 เท่า ทำให้หลายประเทศ เช่น อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ได้มีกฎหมายควบคุมผู้ป่วยโรคลมชักในการขับรถตั้งแต่ปี 1900 โดยกำหนดให้ ผู้ป่วยโรคลมชัก ที่ยังมีอาการชักภายใน 1 ปี ห้ามขับรถ
โรคลมชัก กับอันตรายที่เกิดขึ้นในระหว่างขับรถ
สำหรับในประเทศไทยจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2559 พบว่า 75% ของผู้ป่วยลมชักยังคงขับรถอยู่และ 30% เคยเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถซึ่ง 60% ของการชักนี้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ ข้อมูลล่าสุดจากการศึกษาของสถาบันประสาทวิทยา ปี2562 พบว่า 90% ของผู้ป่วยโรคลมชักยังคงขับรถโดย 56% มีอาการชักแบบไม่รู้สติและ เกือบ 60% ของผู้ป่วยที่ชักแบบนี้ยังคงขับรถต่อและประมาณ 30% ของคนที่มีอาการชักนี้เกิดอุบัติเหตุจากการชัก
นอกจากนี้มีศึกษาถึงอาการชักที่สัมพันธ์กับอุบัติเหตุจากการขับขี่รถพบเป็น 0.1-1% ของอุบัติเหตุบนท้องถนนทั้งหมด โดยพบอัตราการสูญเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยโรคลมชักประมาณ 4.2% ของอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่สัมพันธ์กับโรค ซึ่งคิดเป็น 8.6 ต่อแสน ประชากรของผู้ป่วยโรคลมชัก พบว่าความเสียหายด้านเศรษฐกิจนั้นข้อมูลปี 2550 มูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุด้านการจราจรทั้งสิ้น 232,855 ล้านบาทหรือคิดเป็น 2.81 ของ GDP แต่ยังไม่ได้มีการศึกษาถึงมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในเฉพาะอุบัติเหตุจากผู้ป่วยโรคลมชัก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในประเทศไทย อยู่ในขั้นตอนการออกกฎหมายการออกใบขับขี่กับผู้ป่วยโรคลมชักเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและผู้อื่น ดังนั้น ผู้ป่วยโรคลมชักจึงไม่ควรขับขี่รถ เมื่อยังไม่ปลอดชักอย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากสามารถเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ
โรคลมชัก อันตรายที่ควบคุมได้
แพทย์หญิงไพรัตน์ แสงดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคลมชักว่าเป็นโรคทางระบบประสาทที่พบบ่อย และเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะทุพพลภาพทั้งในผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่และอาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอุบัติเหตุทั้งตนเองและผู้อื่นได้ ซึ่งข้อควรปฏิบัติของผู้ป่วยโรคลมชักคือ ระวังกิจกรรมที่อาจเกิดอันตรายขณะชักได้ เช่น ขับขี่รถยนต์ ปีนป่ายที่สูง และ ว่ายน้ำ เป็นต้น
รคลมชัก เกิดจากภาวะการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์สมองอย่างเฉียบพลัน เป็นโรคที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยากันชักสม่ำเสมอ เพื่อให้หยุดชัก และระวังกิจกรรมที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นขณะมีอาการชัก สำหรับข้อแนะนำในการช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้ป่วยขณะมีอาการชักที่ถูกต้องและจดจำง่าย คือ "ไม่งัด ไม่ง้าง ไม่ถ่าง ไม่กด ไม่ทั้งหมดหยุดชักเองได้" ผู้ป่วยโรคลมชักที่มีอาการกำเริบจะมีภาวะชักเกร็ง กระตุกไม่เกิน 2 นาที แต่หากชักนานถึง 5 นาทีควรรีบนำส่งสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หรือโทรแจ้งหมายเลข 1669 เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที