รักษาภาวะ "มีบุตรยาก" ด้วยเทคโนโลยี "บลาสโตซิสท์คัลเจอร์"
สำหรับสามีภรรยาที่ต้องการสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ทั้งพ่อ แม่ ลูก อาจจะต้องการมีเจ้าตัวน้อยมาสร้างสีสันให้กับชีวิต พร้อมทั้งสร้างอนาคตให้กับครอบครัวต่อไป แต่กับบางคู่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ช่วยให้ปัญหาภาวะมีบุตรยากสามารถแก้ไขได้ ด้วย บลาสโตซิสท์คัลเจอร์ (Blastocyst Culture)
การรักษาภาวะมีบุตรยาก ด้วยเทคโนโลยีบลาสโตซิสท์คัลเจอร์ (Blastocyst Culture)
นพ.มรว. ทองทิศ ทองใหญ่ แพทย์ผู้ชำนาญการสูตินรีแพทย์และรักษาภาวะผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ให้ข้อมูลว่า เทคโนโลยีบลาสโตซิสท์คัลเจอร์ (Blastocyst Culture) คือการทำการปฏิสนธิของไข่และอสุจิภายนอกร่างกายแล้วเลี้ยงตัวอ่อนต่อไปจนถึงระยะ Blastocyst แล้วจึงใส่กลับคืนสู่โพรงมดลูกเพื่อให้ไปฝังตัวและเกิดเป็นทารกต่อไป การเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายจนถึงระยะ Blastocyst นั้นต้องใช้ระยะเวลา 5 วัน และจะต้องใช้น้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนตามความต้องการสารอาหารของตัวอ่อนแต่ละระยะ
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาสภาวะแวดล้อมในการเลี้ยงตัวอ่อนไว้ภายนอกร่างกายได้นานขึ้น (5-6วัน) จนกระทั่งตัวอ่อนเจริญเติบโตไปถึงระยะ Blastocyst ซึ่งเป็นตัวอ่อนที่มีการพัฒนาไปถึงขั้นสูงที่สุดก่อนที่จะฝังตัวเกิดเป็นเด็ก และเป็นระยะที่อยู่ในโพรงมดลูกตามธรรมชาติ เมื่อใส่ตัวอ่อนกลับคืนสู่โพรงมดลูก ตัวอ่อนจึงสามารถฝังตัวได้ทันที จึงทำให้อัตราการตั้งครรภ์ของวิธีการนี้สูงกว่าการใส่ตัวอ่อนในระยะอื่น ๆ ทั้งหมด
การทำเทคโนโลยีบลาสโตซิสท์คัลเจอร์ เหมาะกับใครบ้าง
- คู่สมรสที่ฝ่ายหญิงมีปัญหาเรื่องท่อนำไข่ เช่น ท่อนำไข่ตีบ/ตัน ใช้การไม่ได้ หรือกรณีคนที่ทำหมันมาแล้วต้องการมีบุตร
- คู่สมรสที่ฝ่ายชายที่มีปัญหาเรื่องเชื้ออสุจิ
- คู่สมรสที่พยายามมีบุตรด้วยวิธีธรรมชาติเกิน 1 ปี แต่ยังคงไม่สามารถมีบุตรได้ โดยไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งนี้คู่สมรสควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์เบื้องต้น เพื่อรับทราบถึงข้อจำกัด รวมถึงการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนเริ่มกระบวนการรักษา โดยฝ่ายหญิงจะต้องมีการตรวจประเมินร่างกายเบื้องต้น เพื่อเช็กการทำงานของรังไข่ ท่อนำไข่ และตรวจเช็คสภาพของมดลูกและโพรงมดลูก ส่วนฝ่ายชายจะต้องมีการตรวจเช็คคุณภาพและการทำงานของอสุจิ ก่อนเริ่มกระบวนการการรักษาต่อไป