"เบาหวานขณะตั้งครรภ์" อันตรายแค่ไหน ป้องกันได้อย่างไร ?
คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนไม่ได้ป่วยเป็นเบาหวานมาก่อน แต่เมื่อตั้งครรภ์ กลับมีโอกาส หรือความเสี่ยงเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร ทำไมคุณหมอถึงต้องให้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ อันตรายแค่ไหน จะป้องกันได้อย่างไร
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ มี 2 ประเภท
- เบาหวานที่เป็นมาก่อนการตั้งครรภ์ หมายถึง ตรวจพบ หรือ รู้ตัวว่าป่วยเป็นหวานมาตั้งแต่ก่อนจะตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งหากตัดสินใจตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะได้รับคำแนะนำการดูแล ปฎิบัติตัวจากคุณหมออยู่แล้ว
- เบาหวานที่เกิดจากการตั้งครรภ์ หมายถึง ก่อนตั้งครรภ์ไม่เป็นเบาหวาน พอตั้งครรภ์ขึ้นมาทำให้เป็นเบาหวาน
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes)
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หมายถึง โรคเบาหวานที่ตรวจเจอครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะหมายถึงโรคเบาหวาน ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ โดยรวมถึงโรคเบาหวาน หรือความทนต่อกลูโคสผิดปกติ (glucose intolerance) ที่เกิดขึ้นก่อนการตั้งครรภ์ แต่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน โดยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีผลกระทบต่อทั้งตัวแม่ตั้งครรภ์เอง และทารก จึงต้องตรวจคัดกรอง วินิจฉัย เพื่อดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เกิดจากอะไร ?
รกสร้างฮอร์โมนต้านอินซูลิน เมื่อตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างรกขึ้น เพื่อทำหน้าที่ให้อาหารตัวอ่อนหรือทารก รกจะสร้างฮอร์โมนขึ้นมาซึ่งจะต้านฤทธิ์อินซูลิน (อินซูลินมีหน้าที่ลดน้ำตาล) ดังนั้นอินซูลินจึงออกฤทธิ์ได้น้อยลง ฉะนั้นหญิงตั้งครรภ์ทุกคนจึงมีโอกาสเป็นเบาหวานได้ เพราะมีฮอร์โมนจากรกที่ต้านฤทธิ์อินซูลิน
โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อันตรายแค่ไหน ?
- อันตรายต่อแม่ตั้งครรภ์
- เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ร้อยละ 15-20
- มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคลอด เช่น การคลอดยาก การตกเลือดหลังคลอด เพิ่มขึ้น
- มีโอกาสเป็นเบาหวานซ้ำ ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป ถึงร้อยละ 35-50
- มีโอกาสเป็นเบาหวานชนิด 2 ถึงร้อยละ 40-60 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี
2. อันตรายต่อทารก
- หากแม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกที่คลอดออกมาพิการ หรือเสียชีวิตในแรกคลอด (ระยะปริกำเนิด) ได้
- ทารกที่คลอดอาจบาดเจ็บจากการคลอด เนื่องจากทารกตัวโตกว่าปกติ (macrosomia)
- เกิดภาวะแทรกซ้อน จากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ดูแล รักษาอย่างไร เมื่อเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ?
- ควบคุมอาหาร สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ นอกจากนี้การควบคุมอาหาร ยังสามารถลดภาวะแทรกซ้อน และลดอุบัติการณ์การเกิดทารกตัวโตกว่าปกติ โดยการควบคุมอาหาร ทำได้ดังนี้
- รับประทานครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง โดยแบ่งอาหารเป็น 2 ส่วนคืออาหารมื้อหลัก เช้า เที่ยง เย็น ให้เลือกรับประทานข้าวและกับข้าวที่เน้นเนื้อสัตว์และผักเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอาหารมื้อว่างให้เลือกรับประทานนมและผลไม้
- ควบคุมปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์โบไฮเดรต เลือกรับประทานข้าวซ้อมมือ หรือขนมปังโฮสวีต ซึ่งจะมีใยอาหารมากกว่าข้าวขัดขาว และควรหลีกเลี่ยงข้าวเหนียว เพราะมีพลังงานที่สูง
- เลือกผลไม้สดชนิดหวานน้อย ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง ชมพู่ ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะละกอ แอปเปิ้ล สาลี่ แก้วมังกรปริมาณ 2-3 ส่วน/วัน โดยแบ่งทานในแต่ละมื้อ
- หลีกเลี่ยงขนมหวาน น้ำหวาน ไอศกรีม ผลไม้แห้ง น้ำผลไม้ น้ำอัดลม นมรสหวาน นมเปรี้ยว
- หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน ลูกชิ้น หมูบด
- หลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร ให้ใช้การต้ม ตุ๋น นึ่ง ลวก อบ ย่าง แทนการผัดและทอด
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควรมีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง เป็นประจำ เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิด
- รักษาด้วยอินซูลิน การรักษาด้วยอินซูลินจะทำเมื่อควบคุมด้วย อาหาร 1-2 สัปดาห์ แล้วไม่ได้ผล คือไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยการใช้อินซูลินร่วมกับการควบคุมอาหารสามารถลดอุบัติการณ์ของการเกิดทารกตัวโตกว่าปกติได้มากกว่าการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังพบว่า การใช้อินซูลินยังสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้