“คีโตเจนิค” กับข้อจำกัดที่ควรระวัง
“คีโตเจนิค” เป็นเทรนด์ลดน้ำหนักจากการจำกัดอาหารที่กินที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ในเมืองไทยก็มีคนที่ศึกษาวิธีการกินคีโตเจนิคอย่างจริงจนกลายเป็นกลุ่มกินคีโตที่นับวันจะยิ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะเป็นวิธีกินเพื่อลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การกินคีโตเจนิคก็มีข้อจำกัดที่ควรระวังอยู่บ้างเช่นกัน
>> คีโตเจนิค (Ketogenic Diet) คืออะไร? ลดความอ้วนด้วยไขมันแบบไหน?
รศ.พญ. ธนินี สหกิจรุ่งเรือง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายถึงข้อจำกัดที่ควรระวังของอาหารคีโตเอาไว้ ดังนี้
ข้อจำกัดที่ควรระวังของอาหารคีโตเจนิค
- ในช่วง 1-3 สัปดาห์แรกที่เริ่มต้นกินคีโตเจนิค อาจพบผลข้างเคียงจากการขาดกลูโคสที่ใช้เป็นพลังงานตามปกติ เช่น
- ร่างกายอาจอ่อนล้า อ่อนเพลีย หมดแรงง่าย
- อาจรู้สึกวิงเวียน ปวดศีรษะ หน้ามืด
- ความดันโลหิตลดลง - มวลกล้ามเนื้ออาจลดลง ซึ่งเป็นผลจากปริมาณอินซูลินที่ลดลง
- บางรายอาจพบมวลกระดูกลดลงจากการได้รับแคลเซียม และวิตามินดีลดลง ด้วยข้อจำกัดของอาหารที่กิน
- บางรายอาจพบอาการท้องผูกจากการได้รับกากใยอาหารจากผัก และผลไม้ไม่เพียงพอ
- อาจพบอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ หรือที่เรียกว่า “หวัดคีโต” ได้
- มีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารบางชนิด เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง วิตามินซี และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตได้ จากความไม่สมดุลของสารอาหารในร่างกาย
- ผู้มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูง ที่จำเป็นต้องได้รับไขมันอิ่มตัว และไม่อิ่มตัวชนิดต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล
ข้อควรระมัดระวังเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่สนใจกินคีโตเจนิค
อาหารคีโตอาจเป็นประโยชน์กับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน และเบาหวานชนิดที่ 2 แต่งานวิจัยเกี่ยวกับอาหารคีโตส่วนใหญ่เป็นระยะสั้น ยังขาดการศึกษาติดตามในระยะยาวถึงผลกระทบต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ จึงควรปรึกษาแพทย์ หรือทีมผู้เชี่ยวชาญทางโภชนาการ ในการให้คำแนะนำ คำปรึกษา และตรวจติดตามสุขภาพในระยะยาว เพื่อป้องกันอันตราย หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้