“ไข้ไทฟอยด์” หรือ “ไข้รากสาดน้อย” คืออะไร อันตรายแค่ไหน ?
โรคไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ที่ปนเปื้อนมากับน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด ทำให้เกิดอาการไข้เฉียบพลัน ท้องเสียหรือท้องผูก กลุ่มเสี่ยงคือนักท่องเที่ยวในพื้นที่ระบาด หากมีไข้สูง ปวดหัว ท้องเสียหลังกลับจากท่องเที่ยวหรือไปทำงานต่างถิ่น ควรรีบพบแพทย์
ไข้ไทฟอยด์ คืออะไร ?
โรคไข้ไทฟอยด์ หรือโรคไข้รากสาดน้อย เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi ที่ปนเปื้อนมากับน้ำดื่มและอาหารที่ไม่สะอาด เชื้อปนเปื้อนมากับน้ำดื่ม และอาหาร มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่รับประทานอาหารในพื้นที่ที่กำลังมีเชื้อแพร่ระบาด หรือมีเชื้อโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น เช่น อินเดีย และพื้นที่ใกล้เคียง
อาการของโรคไข้ไทฟอยด์
- มีไข้ต่ำ ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน อาจพุ่งสูงถึง 40.5 องศาเซลเซียสได้
- ปวดศีรษะ
- ไอแห้ง ๆ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- อ่อนเพลีย เซื่องซึม
- เหงื่อออก
- ผื่นขึ้นท้อง หรือหน้าอก
- ปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก
อันตรายของโรคไข้ไทฟอยด์
ตามปกติแล้วผู้ป่วยโรคไข้ไทฟอยด์สามารถหายได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะจากแพทย์ แต่หากมีอาการรุนแรง หรือถึงมือแพทย์ช้า อาจเสี่ยงอาการแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยอาหาร หรือลำไส้ทะลุ ไข้สูงจนเป็นพิษ จนช็อกและอาจเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ยังมีโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย เช่น
- ปอดบวม
- เยื่อบุหัวใจอักเสบ
- กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- ตับอ่อนอักเสบ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เกิดการติดเชื้อในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ
- เกิดปัญหาทางจิต เช่น อาการเพ้อคลั่ง อาการประสาทหลอน และโรคจิตหวาดระแวง
การรักษาโรคไข้ไทฟอยด์
หากพบแพทย์แล้ว ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักจะได้รับยาไปรับประทานที่บ้าน รายที่มีอาการหนัก เช่น ไข้สูงมาก อ่อนเพลียมาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียหนักมาก ฯลฯ ก็จะแนะนำให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล
การป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์
- หากจำเป็นต้องไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ไทฟอยด์ก่อนเดินทาง
- ล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนรับประทานอาหาร ก่อนเตรียมอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร และน้ำดื่มที่ไม่ดูไม่สะอาด ไม่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ดิบที่อาจสงสัยว่าล้างไม่สะอาด
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น
- ผู้ป่วยควรรีบรักษาตัวเองให้หาย รับประทานยา และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่ง และระมัดระวังไม่แพร่เชื้อด้วยการสัมผัส หรือเตรียมอาหารให้ผู้อื่น จนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่าหยุดแพร่เชื้อแล้ว