เช็กลิสต์ คุณกำลังเสี่ยง “โรคไต” หรือเปล่า ?
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกินอยู่ นับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยมีความเสี่ยงเป็นโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นเราลองมาสำรวจตัวเองกันดูสักนิดว่า เราได้เปิดประตูต้อนรับโรคไตเรื้อรังให้เข้ามาในชีวิตบ้างแล้วหรือยัง
เช็กลิสต์ เรากำลังเสี่ยง “โรคไต” หรือไม่ ?
ให้ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” จากคำถามต่อไปนี้
- ชอบกินอาหารรสจัดคำว่า “รสจัด” รวมความถึง เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด และมันจัด อาหารรสจัด
- กินอาหารนอกบ้านค่อนข้างบ่อย เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด อย่างเช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟรายส อาหารปิ้งย่างและหมักดอง
- ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือดื่มน้ำมากเกินไป
- กินไม่ยั้งจนน้ำหนักเกิน
- ไม่ออกกำลังกาย
ถ้าหากตอบว่า “ใช่” เป็นส่วนใหญ่โอกาสที่คุณเปิดประตูต้อนรับโรคไตเรื้อรังเข้ามาในชีวิตนับว่ามี “สูง”
เพราะ อาหารรสจัด ทำให้ไตทำงานหนัก จึงมีส่วนทำให้เป็นโรคไต
อาหารฟาสต์ฟู้ด ปิ้งย่าง และหมักดอง เสี่ยงต่อการได้รับโซเดียมมากเกินปกติ
การดื่มน้ำน้อยเกินไปหรือดื่มน้ำมากเกินไปเพราะไตทำหน้าที่กำจัดของเสียในร่างกาย และต้องใช้น้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองจนกระทั่งกลายเป็นปัสสาวะ แต่หากดื่มน้ำมากไตก็จะทำงานหนักเกิน
การกินไม่ยั้งจนน้ำหนักเกิน และไม่ออกกำลังกาย ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูงตามมา
จากข้อมูลของเครือข่ายลดบริโภคเค็มพบว่าปัจจุบันคนไทยกินเค็มมากกว่ามาตรฐาน 2 – 3 เท่า หรือประมาณ 4,000 มิลลิกรัม คนปกติไม่ควรกินโซเดียมเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมหรือคิดเป็นเกลือป่นประมาณ 5 กรัม (1 ช้อนชา)
อ.พญ. ปิยวรรณ กิตติสกุลนาม อาจารย์แพทย์ด้านโรคไตภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำว่า ให้หาเวลาไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจคัดกรองโรคไต ซึ่งเป็นการตรวจพื้นฐานได้แก่
- การตรวจค่าการทำงานของไตจากการเจาะเลือด (blood urea nitrogen และ creatinine)
- การตรวจปัสสาวะ (urinalysis)
- ตรวจปริมาณโปรตีนที่รั่วในปัสสาวะ (albuminuria)
ปัจจุบันมีการตื่นตัวในการวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อให้สามารถเริ่มใช้มาตรการชะลอการเสื่อมของไตได้เร็วขึ้น เพราะหลายคนเริ่มตระหนักแล้วว่า คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยสูงอายุ ล้วนเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรังได้
สัญญาณอันตราย “โรคไต”
ในทางการแพทย์มีอาการสำคัญบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรคไต อาการเหล่านั้นได้แก่
- ปัสสาวะขัดหรือลำบากปัสสาวะกลางคืนหรือบ่อยกว่าปกติ
- ปัสสาวะเป็นเลือด ขุ่น มีฟองหรือมีสีน้ำล้างเนื้อ
- มีอาการบวมที่รอบตาบวม หน้าหรือหลังเท้า
- ปวดเอว
- ความดันโลหิตสูง
เป็นต้น
หากมีอาการเหล่านี้แล้วท่านควรรีบไปพบอายุรแพทย์โรคไตโดยเร็วเพื่อการวินิจฉัยโรคและรักษาโรคไตตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม ซึ่งถือว่าเป็นการป้องกันแบบทุติยภูมิ (secondary prevention)
วิธีชะลอการทำงานของไต สำหรับผู้ป่วยโรคไต
สำหรับท่านผู้อ่านที่ทราบว่าตนเองเป็นโรคไตอยู่แล้ว ก็ควรทราบถึงวิธีที่จะชะลอความเสื่อมของไตแบบต่าง ๆ อาทิเช่น
- การควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
- ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิด
- การควบคุมระดับน้ำตาลและกรดยูริกในเลือด
- รับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำ
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เพื่อคงหน้าที่การทำงานของไตไว้ให้ได้นานที่สุด (การป้องกันระดับตติยภูมิ)
โรคไตเป็นภัยต่อสุขภาพของประชากรไทยที่เกิดจากการขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะในการดูแลสุขภาพกระทั่งกลายเป็นภัยเงียบที่คืบคลานเข้ามาจนไตเกิดความเสื่อมไปมากจึงเกิดอาการผิดปกติ เมื่อถึงเวลานั้นการป้องกันและการชะลอความเสื่อมของไต ก็มักถึงจุดที่ทำได้ยากแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้ท่านผู้อ่านนำความรู้จากบทความนี้ไปปฏิบัติ นอกจากจะช่วยให้ตนเองอยู่ห่างไกลโรคไตได้แล้ว ยังเป็นประโยชน์มากขึ้นหากนำไปเผยแพร่และแสดงเป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจต่อคนรอบตัวช่วยให้ประชากรไทยเริ่มปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเองอันจะนำไปสู่การมีสุขภาพไตที่ดีได้อย่างถ้วนหน้าในอนาคต